
กรมศุลกากรจัดพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ ความร่วมมือในการกำกับดูแลและปราบปรามการนำเข้าสินค้าผิดกฎหมายและสินค้าที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานที่กฎหมายกำหนด โดยมี นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ อธิบดีกรมศุลกากร เป็นประธานในพิธีฯ และนางสาวสุนทรียา ทวิชาประสิทธิ์ รองอธิบดีกรมศุลกากร เป็นผู้รายงานความเป็นมา วัตถุประสงค์ และเป้าหมายความร่วมมือ ร่วมด้วย พันโทหญิง ดร.ธมกร ศุภธนรังสี รองประธานฝ่ายรัฐสัมพันธ์ บริษัท ลาซาด้า จำกัด นายกันตภณ พร้อมมูล ผู้จัดการฝ่ายกิจการองค์กร บริษัท ช้อปปี้ (ประเทศไทย) จำกัด Mr. Alvin Yang Head of Global Customs Affairs Fashion Choice Pte. Ltd. (SHEIN) นายพาวิชช์ ศุภพิพัฒน์ ผู้จัดการฝ่ายนโยบายสาธารณะและรัฐกิจสัมพันธ์ บริษัท ติ๊กต๊อก ช็อป (ประเทศไทย) จำกัด และนายทัศนุ ชุติกานนท์ ผู้ประสานงานในประเทศไทย ผู้แทนจาก TEMU ณ ห้องโถง อาคาร 1 กรมศุลกากร
นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวว่า ตามที่ ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้มอบนโยบายให้กับผู้บริหารกระทรวงการคลัง เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2568 โดยมุ่งเน้นการสร้างและพัฒนา Ecosystem ใหม่ เพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs ไทย สามารถเสริมสภาพคล่อง เพิ่มประสิทธิภาพ และสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการ SMEs ได้อย่างเสมอภาค และให้กรมศุลกากร ดำเนินมาตรการยกเลิกการกำหนดมูลค่าขั้นต่ำในการนำเข้าที่ไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า (De Minimis Value : DMV) เพื่อสร้างความเป็นธรรมในการแข่งขันให้แก่ผู้ประกอบการไทยในประเทศ ซึ่งรวมถึง ผู้ประกอบการ SMEs ที่เสียภาษีถูกต้อง ให้สามารถแข่งขันกับสินค้านำเข้าจากต่างประเทศได้ กรมศุลกากรจึงขานรับนโยบาย โดยการจัดพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ ความร่วมมือในการกำกับดูแลและปราบปรามการนำเข้าสินค้าผิดกฎหมายและสินค้าที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานที่กฎหมายกำหนด เพื่อช่วยให้เกิดความสะดวกและรวดเร็ว พร้อมปกป้องสังคมอย่างมีประสิทธิภาพ
กรมศุลกากรได้ดำเนินมาตรการภายใต้กรอบนโยบายรัฐบาล ซึ่งมุ่งให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมอย่างรวดเร็ว และคงสมดุลบทบาทการดำเนินการที่สำคัญทั้ง 3 มิติ ได้แก่
การอำนวยความสะดวกทางการค้า การปกป้องสังคม และการจัดเก็บรายได้ของรัฐอย่างโปร่งใสและเป็นธรรม โดยได้พัฒนาและผลักดัน “โครงการพัฒนาระบบตรวจสอบสินค้า e-Commerce” และจัดประชุมหารือร่วมกับผู้ประกอบการแพลตฟอร์มพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2568 เพื่อขอความร่วมมือในการบูรณาการและเชื่อมโยงข้อมูลที่จำเป็นต่อการตรวจสอบสินค้าและประเมินภาษีอากร ซึ่งจะช่วยให้การตรวจสอบสินค้าเป็นไปอย่างถูกต้อง สามารถกำกับดูแลและปราบปรามการนำเข้าสินค้าผิดกฎหมายและสินค้าไม่ได้มาตรฐานอย่างมีประสิทธิภาพ
ในการนี้ กรมศุลกากรและผู้ประกอบการแพลตฟอร์มพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ จึงได้ตกลงร่วมกันในการจัดทำบันทึกความเข้าใจ เพื่อกำหนดกรอบความร่วมมืออย่างเป็นทางการ โดยมีวัตถุประสงค์ของการดำเนินมาตรการแบ่งออกเป็น 3 มิติ ได้แก่
มิติที่ 1 ด้านการแข่งขันทางการค้าอย่างเป็นธรรม การเชื่อมโยงข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าที่จำหน่ายผ่านแพลตฟอร์มพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น ข้อมูลรายการชนิดสินค้า ปริมาณสินค้า และมูลค่าสินค้า เพื่อใช้ในการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลในขั้นตอนการปฏิบัติพิธีการศุลกากร จะช่วยสนับสนุนให้การตรวจสอบสินค้ามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และเป็นกลไกสำคัญในการคุ้มครองผู้ประกอบการในประเทศให้สามารถแข่งขันทางการค้าได้อย่างเป็นธรรม โดยมีเป้าประสงค์ให้การนำเข้าสินค้าที่จำหน่ายผ่านแพลตฟอร์มพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นไปตามกฎหมายอย่างเท่าเทียม ลดช่องว่างจากการแจ้งข้อมูลไม่ครบถ้วนหรือไม่ถูกต้อง อันเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการแข่งขันทางการค้า และกระทบต่อผู้ประกอบการสุจริตภายในประเทศ
มิติที่ 2 ด้านการปกป้องสังคม กำหนดกลไกความร่วมมือในการตรวจสอบข้อมูล และดำเนินมาตรการแจ้งเตือน ควบคุมและกำกับดูแล เพื่อป้องกันการจำหน่ายสินค้าผิดกฎหมายและสินค้าไม่ได้มาตรฐานผ่านแพลตฟอร์มพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ควบคู่กับการประชาสัมพันธ์สร้างความตระหนักแก่ผู้ขายให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ และมาตรการควบคุมการนำเข้าอย่างถูกต้อง
และมิติที่ 3 ด้านการจัดเก็บรายได้ของรัฐ ความร่วมมือด้านการเชื่อมโยงข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าที่จำหน่ายผ่านแพลตฟอร์มพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านการจัดเก็บรายได้ ทำให้การจัดเก็บภาษีอากรเป็นไปอย่างถูกต้อง และสอดรับกับปริมาณการนำเข้าสินค้าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว
อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวเพิ่มเติมว่า สิ่งที่รัฐบาลและกระทรวงการคลังเร่งผลักดันอย่างเป็นรูปธรรม คือ การปรับเปลี่ยนแนวทาง การจัดเก็บอากรสำหรับสินค้านำเข้ามูลค่าต่ำ โดยให้จัดเก็บอากรสำหรับสินค้านำเข้าที่มีมูลค่าตั้งแต่ 1 บาทขึ้นไป ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 แทนการยกเว้นอากรสำหรับของนำเข้ามูลค่าไม่เกิน 1,500 บาท
ในปีที่ผ่านมาสินค้านำเข้ามูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาท มีมูลค่ารวมสูงถึง 30,000 ล้านบาท จากพัสดุมากกว่า 160 ล้านกล่อง และคาดการณ์ว่าปริมาณพัสดุจะพุ่งสูงขึ้นเป็น 250 ล้านกล่อง ในปี 2569 สำหรับการจัดเก็บภาษีตามอัตราพิกัดใหม่ สินค้าส่วนใหญ่ที่นำเข้าและมีมูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาท มักเป็นสินค้ากลุ่มแฟชั่น ซึ่งจะมีอัตราอากรขาเข้าอยู่ที่ประมาณ 30% สำหรับเสื้อผ้าและรองเท้า ส่วนกระเป๋าจะอยู่ที่ 20% และสินค้าประเภทอื่นๆ จะเสียตามพิกัดอัตราศุลกากรของสินค้านั้นๆ ตามวัสดุสินค้า เช่น 10-20%
มาตรการนี้ไม่ใช่เพียงมุ่งเน้นเรื่อง “รายได้” แต่เป็นสิ่งสะท้อน “ความเป็นธรรม” เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยที่ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างถูกต้อง ไม่ต้องแข่งขันบนเงื่อนไขที่เสียเปรียบ ประเด็นสำคัญของการขับเคลื่อนในระยะนี้ คือ การยกระดับการใช้ข้อมูลเพื่อกำกับดูแลสินค้านำเข้า โดยให้ผู้ประกอบการแพลตฟอร์มพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์มีส่วนร่วมสนับสนุนและเชื่อมโยงข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การจัดเก็บอากรและภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นไปอย่างถูกต้อง โปร่งใส และเป็นธรรม ควบคู่กับการเพิ่มประสิทธิภาพในการสกัดกั้นและปราบปรามสินค้าผิดกฎหมายและสินค้าไม่ได้มาตรฐาน เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคและความปลอดภัยของสังคม โดยกรมศุลกากรมีความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนมาตรการตามนโยบายรัฐบาลและกระทรวงการคลังอย่างต่อเนื่องในทุกมิติ ผ่านความร่วมมือกับทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน