svasdssvasds
เนชั่นทีวี

คอลัมนิสต์

2 ปีกลับบ้าน “ทักษิณ” ฝ่าแนวรบนิติสงคราม จับตา “ดีลแช่แข็ง” ลุ้นได้ไปต่อ

ระทึกรอดหรือร่วงอีก 2 คดี “ทักษิณ” ฝ่าแนวรบนิติสงคราม ติดกับดัก “ดีลแช่แข็ง” ตระกูลชินวัตรลุ้นได้ไปต่อ

2 ปี ดีลกลับบ้าน ทักษิณ เผชิญวิบากซ้ำซ้อน อนุรักษ์ไม่เป็นเอกภาพ ทางรอด-ทางลง เต็มไปด้วยกับระเบิดนิติสงคราม

นับถอยหลังคดีคลิปเสียง-คดีชั้น 14 พ่อลูกชินวัตร จึงมีคนขานชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ และซุปเปอร์ดีลรอบใหม่

วันที่ 22 ส.ค.2566 ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 23 เดินทางกลับมาถึงท่าอากาศยานดอนเมือง ด้วยเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว ในตอนสายๆ โดยมี พานทองแท้ ชินวัตร, พินทองทา ชินวัตร และแพทองธาร ชินวัตร รวมทั้งแกนนำพรรคเพื่อไทย และคนเสื้อแดงออกมาให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น

อดีตนายกฯ ทักษิณ กลับไทยในช่วงที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และรอส่งไม้ต่อให้นายกฯ คนใหม่

วันเดียวกันนั้น มีการประชุมร่วมสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้ เศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทย เป็นนายกฯ

ที่น่าสนใจคือ สมาชิกวุฒิสภา สาย พล.อ.ประยุทธ์ ได้พร้อมใจกันโหวตเห็นชอบเศรษฐา เป็นนายกฯ จึงเป็นที่มาของวาทกรรม “ดีลลับกลับบ้าน”

 

วันที่ 22 ส.ค.2568 อดีตนายกฯที่สถาปนาตัวเอง “ส.ท.ร.” ได้รับข่าวดี เมื่อศาลอาญาพิพากษายกฟ้อง ในคดี ม.112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จากการให้สัมภาษณ์สื่อเกาหลีใต้ เมื่อ 10 ปีก่อน

ครบรอบ 2 ปี ทักษิณกลับมาตุภูมิ มีกูรูการเมืองประเมินดีลลับดีลข้ามขั้วมากมาย แต่ที่แปลกแตกต่างจากคนอื่นๆ คือ เกษียร เตชะพีระ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้เคยบัญญัติคำว่า “ระบอบทักษิณ” เมื่อปี 2547 ได้ให้สัมภาษณ์ “บีบีซีไทย” ว่า
 

“...กลับมารอบนี้ ทักษิณ ไม่ได้รุกการเมือง ไม่มีพันธมิตรการเมือง ไม่ได้อยู่ในสถานะเดิมที่เคยอยู่ ตรงกันข้ามเขารับดีลที่จะ Deep Freeze (แช่แข็งลึก)การเมืองไทย การห้ามแตะต้องประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112...แต่ที่ร้ายกว่านั้นคือการไม่พยายามไปขยับรัฐธรรมนูญ 2560 ซึ่เป็นระเบียบอำนาจที่ฝ่ายเลือกตั้งมีตัวสกัดเต็มไปหมดและถูกคุมพลังอำนาจไว้”
 

ทักษิณวันนี้ ไม่เหมือนวันวาน พลังถดถอย

 

 

นายใหญ่วันนี้ไม่เหมือนวันวาน
 

เนื่องจากไม่มีตำแหน่งทางการเมือง ทักษิณ ชินวัตร จึงแต่งตั้งตัวเองเป็น “ส.ท.ร.” ช่วยงาน รัฐบาลแพทองธาร ซึ่งนักวิชาการวิจารณ์ว่า ทักษิณในนาม ส.ท.ร.ผิดฟอร์ม สู้ทักษิณยุค ทรท.ไม่ได้

เกษียร เตชะพีระ นักรัฐศาสตร์ประเมินระบอบทักษิณผ่าน “บีบีซีไทย” ว่า
 

“ระบอบทักษิณจบไป ตั้งแต่รัฐประหาร 2557 ซึ่งโจทย์การเมืองเปลี่ยน เพราะ คสช. เข้ามาเปลี่ยน และนำไปสู่ความต้องการต่อสู้กับระเบียบของ คสช. และเห็นว่าพรรคส้มกลายเป็นคู่ชกของระเบียบแบบที่ พล.อ.ประยุทธ์ ตั้งไว้แทน”
 

ย้อนไปในอดีต พรรคไทยรักไทย เกิดขึ้นมาภายใต้บริบทเศรษฐกิจการเมืองไทยช่วงเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ 2540 เวลานั้น เขาเป็นผู้มั่งคั่งจากเงินใหม่คือ ธุรกิจโทรคมนาคม ทั้งโทรศัพท์มือถือ และดาวเทียม มีพันธมิตรธุรกิจคือ สิงคโปร์

หลังชัยชนะการเลือกตั้งปี 2544 ทักษิณ กลายเป็นศูนย์รวมกลุ่มทุนไทย มีทั้งกลุ่มทุนโทรคมนาคม , ทุนน้ำเมา , ทุนก่อสร้าง , ทุนธนาคาร , ทุนอสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ

ขณะที่ไทยรักไทย เป็นพรรคที่เน้นทั้งนโยบายและความนิยมส่วนตัวของทักษิณเอง ตัดกลับมาที่ พ.ศ.นี้ เพื่อไทยกลับถูกประทับตรา “อนุรักษนิยมใหม่”

ก่อนหน้านั้น ทักษิณยืนยันว่า เพื่อไทยคือ DNAไทยรักไทย ยึดแนวปฏิรูป ไม่ใช่พรรคอนุรักษนิยมใหม่
 

“...เราไม่ใช่เป็นขวาจัดตกขอบ เราถือว่าเราเป็นคนไทยเคารพในสถาบันพระมหากษัตริย์แค่นั้นเอง ชัดเจนครับ ไม่มีบิดพลิ้ว” ทักษิณ กล่าว
 

ซุปเปอร์ดีลแลก 2 คดี??
 

ระยะหลังๆ มีคนถามทักษิณว่า จะลบภาพที่ด้อมส้มมองว่า เพื่อไทย “สู้ไปกราบไป” ได้อย่างไร ทักษิณตอบชัด คำว่ากราบไป คืออะไร เพราะมันคือการเคารพสถาบัน โดยจุดยืนของครอบครัวชินวัตร คือเคารพ รักสถาบัน
 

“ใครจะว่าอะไรช่วยไม่ได้ เพราะผมเองเป็นอย่างนี้ ไม่ได้สู้เพื่อจะไปทำอะไรที่ไม่ดีต่อสถาบัน แต่สู้เพื่อเอาชนะทางการเมืองเท่านั้นเอง”
 

เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ทักษิณเจ็บปวดที่สุดในชีวิต เพราะฝ่ายตรงข้ามปั้นเรื่องปฎิญญาฟินแลนด์ สร้างภาพให้เขาเป็นคนล้มเจ้า และเหตุการณ์ครั้งนั้น ได้นำไปสู่การประท้วงต่อต้านรัฐบาลทักษิณครั้งใหญ่ และจบด้วยการทำรัฐประหาร 2549

แม้วันนี้ ทักษิณจะ “รอด” จากคดี ม.112 แต่ยังต้องเผชิญกับภาวะไม่แน่นอนจากอีก 2 คดีคือ คดีคลิปเสียงของนายกฯ แพทองธาร และคดีชั้น 14 ของอดีตนายกฯ

ดังนั้น กระแสข่าวซุปเปอร์ดีลแลกอนาคต “นายน้อย” และ “นายใหญ่” จึงมีการพูดถึงในแวดวงอีลิทกันมากพอสมควร 

แพทองธาร ลุ้นคดีคลิปเสียง 29 ส.ค.68