21 มิถุนายน 2567 ยังคงเป็นประเด็นที่สังคมจับตา กรณีความเคลื่อนไหวของ "บิ๊กโจ๊ก" พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน จึงไม่สามารถปฏิบัติภารกิจในฐานะ รอง ผบ.ตร.ได้ จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง
แต่หากย้อนกลับไปในช่วงเช้าวันที่ 25 ก.ย. 2566 สังคมตื่นตระหนกไปทั่วว่า ทำไมมีการเสนอข่าวบุกค้น บุกจับด้วยชุดตำรวจคอมมานโดหลายสิบนาย ในหมู่บ้านเเห่งหนึ่ง ซอยวิภาวดีรังสิต 60 ว่า คนในบ้านพักนี้ “มีส่วนพัวพันกับเว็บพนันออนไลน์” เพราะตำรวจปูพรมบุกค้นเเละบุกจับในหลายจังหวัดพร้อมกัน
เเปลว่า ตำรวจเเกะรอยเว็บพนันเหล่านี้มาระยะหนึ่ง เเละขออนุมัติจากศาลในการขอหมายค้น หมายจับครั้งนั้น (เว็บพนันมินนี่)
เเต่ที่ฮือฮากันหนักในวันนั้นคือ สถานที่ที่ตรวจค้นกลาง กทม. คือบ้านพักของ รอง ผบ.ตร.ที่ชื่อ “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล” เเละบุคคลที่ถูกหมายจับวันนั้น คือตำรวจที่เป็นทีมงานของ ”บิ๊กโจ๊ก” ทั้งนั้น
เเปลว่าผู้พิทักษ์สันติราษฎร์บางนายสายของ "บิ๊กโจ๊ก" ไปมีเอี่ยวกับเม็ดเงินผิดกฎหมายมหาศาล (เว็บพนันมินนี่) เเม้ต่อมา "บิ๊กโจ๊ก" จะอ้างว่า ไม่รู้เรื่องว่าลูกน้องไปทำอะไรบ้างในเเต่ละวัน...
จากนั้น "คดี BNK Master" ก็ขยายผลมาถึง "บิ๊กโจ๊ก" จนมีสามหมายเรียกเเละหนึ่งหมายจับ ที่เป็นมลทินกับ "บิ๊กโจ๊ก" เเละพวกรวมห้าชีวิต
ปฏิบัติการครั้งนั้นสะเทือนมายังวันนี้ เพราะย่านปทุมวันยังคุกรุ่น แบบเหตุการณ์ยังพลิกไปพลิกมาเกี่ยวกับ “ตำเเหน่งหน้าที่” ของ ”บิ๊กโจ๊ก”
เพราะการตีความเเละใช้กฎหมาย (พ.ร.บ.ตำรวจเเห่งชาติฉบับปัจจุบัน) ซึ่งคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะที่สอง มองว่า หากจะให้ ”บิ๊กโจ๊ก” ออกจากราชการไว้ก่อน และทูลเกล้าฯ นั้น ต้องสอบวินัยให้สมบูรณ์ก่อน เเล้วจึงให้ออกจากราชการไว้ก่อนตามมาตรา 120 เเละรอผลการวินิจฉัยของ ก.พ.ค.ตร. ด้วย
เเต่สิ่งที่ รรท.ผบ.ตร.ได้กระทำเมื่อวันที่ 18 เม.ย. 2567 คือ รรท.ผบ.ตร.ใช้อำนาจจาก มาตรา 131 (กรณีร้ายแรงยิ่งกว่าวินัยทั่วไปหรือความผิดอาญา กฎหมายให้อำนาจ นายกรัฐมนตรีหรือ ผบ.ตร. ดำเนินการสั่งให้ตำรวจออกจากราชการไว้ก่อนได้ ไม่ต้องรอการสอบสวน) โดยสารตั้งต้นคือ หมายจับคดี BNK Master
ดังนั้นการกล่าวขานว่า เคสบิ๊กโจ๊กนั้นใครอุ้มใคร? ใครพลิกตำรากฎหมายมาชี้ช่อง หาเทคนิคพลิกเเพลงโดยไม่มองภาพรวมทั้งหมดว่า วันนี้จะทำเเบบนี้ ผลของวันนี้วางมาตรฐานไว้ในอนาคตเเล้ว วันหน้าจะเป็นอย่างไรค่อยหาเทคนิคใหม่มาใช้? สังคมตรองกันดี ๆ
โดยเฉพาะการให้สัมภาษณ์ของ พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ ก.ตร. ผู้ทรงคุณวุฒิ ที่เปิดเผยเนชั่นทีวี เมื่อวันที่ 20 มิ.ย.ที่ผ่านมาว่า อนุ ก.ตร.วินัย ชุดที่ พล.ต.อ.วินัย ทองสอง เป็นประธาน ยืนยันว่า การลงนามของ รรท.ผบ.ตร.ให้ บิ๊กโจ๊ก ออกจากราชการไว้ก่อนนั้นชอบด้วยกฎหมาย โดย อนุ ก.ตร.วินัย ได้รับรองมติแล้ว และจะเสนอต่อที่ประชุม กตร. สัปดาห์หน้า ก็เป็นอีกประเด็นที่ต้องจับตาว่า ก.ตร.จะกลับมติ อนุ ก.ตร.วินัยหรือไม่ แต่โดยส่วนใหญ่และเป็นมาตรฐานของ ตร.ก็จะไม่กลับมติ
มิพักที่เรายังไม่กล่าวถึง มติ ก.พ.ค.ตร.ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า จะออกมาอย่างไร และอาจถือว่า เป็นความหวังเล็กๆ ของ”บิ๊กโจ๊ก” หรือไม่
ย้อนสารตั้งต้นปมปลด ”บิ๊กโจ๊ก”
ย้อนกลับไปยังสารตั้งต้นของ ”บิ๊กโจ๊ก” เมื่อปลายเดือนกันยายนปีที่เเล้ว ส่วนหนึ่งของสำนวนการสอบสวนของ บก.ปปป. จำนวน 1,420 แผ่น ที่ตรวจสอบข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ของ พ.ต.ท.คริษฐ์ ปริยะเกตุ และบัญชีการตรวจยึดทรัพย์สิ่งของในบ้านพักซอยวิภาวดีรังสิต 60 ตามหมายค้นเเละหมายจับบุคคลที่เกี่ยวข้องกับพนันออนไลน์ ในบ้านพัก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์
โดยมีการตรวจยึดทรัพย์สิ่งของไปตรวจสอบจำนวน 31 รายการนั้น พนักงานสอบสวนพบสิ่งที่เชื่อมโยงกันหลายรายการที่บ่งชี้ว่า มีการร่วมกันกระทำความผิดกันหลายวาระ ระหว่าง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กับลูกน้อง , ตำรวจบางนาย ,บุคลากรของสำนักงาน ป.ป.ช. และบุคคลภายนอก เพราะมีเอกสารข้อมูลจำนวนมาก ที่ได้ตรวจสอบและรอการพิสูจน์ความผิดตามขั้นตอนทางกฎหมาย
ส่วนหนึ่งของสำนวนการสอบสวนที่ระบุบัญชีรายการตรวจยึดจากบ้านพักหลังดังกล่าว เช่น ข้อมูลส่วนตัวของ "พล.ต.อ.สุรเชษฐ์" เเละภริยา , ข้อมูลของบิดา “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์” , ไฟล์เเละเอกสารหลายเรื่องของคนในครอบครัวภริยาของ ”พล.ต.อ.สุรเชษฐ์” , สัญญาจะซื้อจะขายคอนโดมิเนียม ถนนสีลม ซึ่งเป็นชื่อของเสี่ยใหญ่ภาคอีสานที่ใกล้ชิด “พล.ต.อ. สุรเชษฐ์” , หนังสือมอบอำนาจให้นายตำรวจคนสนิท โอนคอนโดมิเนียม-หนังสือกรรมสิทธิคอนโดมิเนียม ชั้น 15 ถนนวิทยุ
สำนวนการสอบสวนระบุ อีกว่า ยังตรวจพบไฟล์เเละเอกสารการชี้แจงกับสำนักงาน ป.ป.ช. ของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์,เอกสารของเซียนพระชื่อดังที่ส่งถึงสำนักงาน ป.ป.ช.เรื่องชี้แจงการจ่ายค่านายหน้าพระเครื่องให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ , บัญชีการซื้อปืน-ใบสั่งซื้อปืนกว่าสองร้อยกระบอก, ใบอนุโมทนาบัตร ,ประวัติข้าราชการตำรวจ-บัญชีแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจระดับรองสารวัตร-ผู้บังคับหมู่,สัญญาการกู้เงินระหว่าง พ.ต.ท.คริษฐ์ กับบุคคลภายนอก เป็นต้น
รายการการตรวจยึดทรัพย์สิ่งของดังกล่าวนั้น พบว่า พนักงานสอบสวนตรวจยึดใน ”ห้องอินทรีย์, โต๊ะข่าว, โต๊ะนาย”ซึ่งลูกน้องของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ อ้างถึงและบันทึกไว้ในห้องสนทนาผ่านระบบแอปพลิเคชั่นเเช็ตไลน์ ที่ตรวจยึดจากโทรศัพท์มือถือของนายตำรวจคนสนิทนั้น พบว่า
”ห้องอินทรีย์, โต๊ะข่าว, โต๊ะนาย” คือพื้นทื่ทำงานของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ในบ้านพักหลังดังกล่าว โดยพนักงานสอบสวนเชื่อว่า นายตำรวจคนสนิท เป็นตัวกลางในการประสานระหว่าง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ และตำรวจชั้นประทวน รายอื่น ๆ ซึ่งใช้คำว่า “ทีมม้าเร็ว”
เพราะพบว่า“ทีมม้าเร็ว” ในการไปกดเงินสดที่ตู้เอทีเอ็มจากบัญชีม้า ตามที่พ่อบ้านคือนายตำรวจคนสนิท” สั่งให้ดำเนินการ เมื่อกดเงินเเล้วจะใส่ซองเเละจ่าหน้าซองว่า ”ค่าอะไร , จากใคร , ส่งไปที่ใด“ จากนั้นจะถ่ายรูปเเละส่งเเช็ตไลน์เเจ้ง” นายตำรวจคนสนิท ให้ทราบ ต่อจากนั้น “นายตำรวจคนสนิท” จะเเจ้งให้เจ้านายรับทราบในชั้นสุดท้าย
ข้อมูลของพนักงานสอบสวน ระบุว่า มีการพบแช็ตไลน์ของ พล.ต.ท.คนหนึ่งกับ นายตำรวจคนสนิท เมื่อวันที่ 31 พ.ค. 2566 ว่า “จะให้ตุ้ยเอาของไปส่งฝากให้รองโจ๊กที” จากนั้น พ.ต.ท.คนหนึ่งนำซองสีน้ำตาลมามอบให้ นายตำรวจคนสนิท ที่นัดพบกันในพื้นที่เขตดุสิต กทม. จากนั้น นายตำรวจคนสนิท รับซองดังกล่าวและเขียนหน้าซองว่า” รับจากพี่แกว” และแจ้ง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ว่า ”รับเอกสารจากพี่แกวมาไว้ที่ทาวเรียบร้อยแล้วครับ”
พนักงานสอบสวนพิสูจน์ทราบแล้วว่า “โต๊ะข่าว/โต๊ะนายที่อยู่ในห้องอินทรีย์”นั้น อยู่ในบ้านพักซอยวิภาวดีรังสิต 60 ซึ่ง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ พักอาศัยและห้องดังกล่าวนั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เข้าไปใช้สอยเป็นปกติตั้งแต่ปี 2564-66 เพราะสิ่งของและเอกสารในห้องนี้เป็นของส่วนตัวของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ทั้งสิ้น
และการวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกน้อง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ นั้น พนักงานสอบสวนเชื่อว่า หากจะส่งมอบหรือเตรียมสิ่งใดไว้ให้กับ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ ลูกน้องจะใช้วิธีวางทิ้งไว้บนโต๊ะดังกล่าวเช่น เอกสาร-ข่าวประจำวัน รวมถึงเงินสดที่ไปรับมาในลักษณะซองกระดาษ กระเป๋าและซองเงินที่ได้จากการจัดเตรียมซองของ พ.ต.ท.คริษฐ์
หรือเงินในการดูแลค่าใช้จ่ายในสำนักงานของนั้น นายตำรวจคนสนิท จะรับโอนเข้าบัญชีม้า จากนั้น นายตำรวจคนสนิท จะจัดสรรบริหารเงินสดที่ถอนจากบัญชีม้า เพื่อนำมาใส่ซองตามจำนวนยอดที่รับโอนมา และเขียนหน้าซองว่ามาจากใคร จากนั้นนำไปวางไว้บนโต๊ะดังกล่าวเเล้วเเจ้งให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ รับทราบต่อไป
พนักงานสอบสวนเชื่อว่า มีการกำหนดไว้ว่าห้องนี้ (ห้องอินทรีย์) เป็นพื้นที่ที่ลูกน้องจะส่งเอกสาร, ซองเงิน ไว้ให้พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ในห้องนี้ และบันทึกภาพก่อนจะส่งเข้าระบบแช็ตไลน์เพื่อแจ้งว่า ได้ดำเนินการแล้วในการส่งมอบสิ่งของต่าง ๆ วางไว้ตามตำแหน่งที่บันทึกภาพ จากนั้น พ.ต.ท.คริษฐ์ จะส่งแช็ตไลน์แจ้ง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ให้ทราบอีกครั้งในภารกิจดังกล่าว
เเม้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จะอ้างเสมอว่า ไม่ทราบการกระทำส่วนตัวของ "นายตำรวจคนสนิท” เเต่อย่างใดเเละควรสอบถาม นายตำรวจคนสนิท นั้นเอง
หากใครหลายคนย้อนไปอ่านข่าว ดูคลิปข่าวเคสบิ๊กโจ๊กในห้วงเวลาที่ผ่านมาประกอบนั้น ก็สุดแต่ใช้วิจารณญาณได้ว่า ข้อมูลการสืบสวนจาก บก.ปปป. ที่ฉายภาพพฤติการณ์ คนในวงการตำรวจ ตั้งแต่ระดับบิ๊กถึงระดับล่าง มาถึงขนาดนี้ ซึ่งทั้งหมดก็ยังถือว่า เป็นผู้บริสุทธิ์ แต่จะหาทางต่อสู้คดี พ้นบ่วงข้อกล่าวหานี้ได้อย่างไร
ล้วนเป็นเรื่องที่สังคมต้องติดตาม วิบากกรรม "บิ๊กโจ๊ก" ในซีรีย์ใหม่ นับจากนี้อย่างไม่กระพริบ