20 มิถุนายน 2567 ภายหลัง นายวิษณุ เครืองาม ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี เเละประธานคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะที่สอง แถลงความคืบหน้าผลสอบของ คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย กรณีความขัดแย้งในเรื่องคดีของบุคลากร ภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ตอนนี้ยังมีการวิจารณ์กันอย่างมากนั้น
หากมองไปที่คำสั่งสำนักนายกฯ วันที่ 20 มีค. 2567 ซึ่งนายกฯ "เศรษฐา ทวีสิน" ลงนามให้สองบิ๊กตำรวจ มาปฏิบัติราชการที่ทำเนียบรัฐบาลนั้น
ผ่านมาสี่เดือน ตอนนี้มีคำตอบเเล้วว่า พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล จะกลับคืนสู่ฐานะเดิมคือ ผบ.ตร.ในเร็ว ๆ นี้ เเต่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล นั้นได้คืนสู่ตำเเหน่ง รอง ผบ.ตร. ตั้งเเต่วันที่ 18 เม.ย. 2567 เเละถูกคำสั่งจากรักษาราชการผบ.ตร.ให้ออกจากราชการไว้ก่อน เเละถูกสอบวินัยร้ายเเรง
เเม้วันนี้เนติบริกรจะมาอธิบายความในเรื่องนี้เเล้ว เเต่ยังมีความวุ่นวายตามหลังมาอีก เพราะกรณี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ที่ถูกสอบวินัยนั้น เนติบริกรชี้เเจง เเถลงว่า “ก่อนนี้มีคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน เป็นการสั่งตาม มาตรา 132 พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2505 แต่ พ.ร.บ.ตำรวจเเห่งชาติฉบับใหม่ มีเพิ่มอีก 1 มาตราคือ มาตรา 120 ระบุว่า กรณีสั่งตำรวจให้ออกจากราชการไว้ก่อน หากกระทบต่อสิทธิประโยชน์ ต้องทำตามคำแนะนำ ของคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายเเรงก่อน
แต่เมื่อ 18 เม.ย. 67 ที่มีคำสั่ง 3 คำสั่ง คือ เรียกกลับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ , ตั้งกรรมการสอบ และให้ออกจากราชการไว้ก่อนทันที ก็เป็นปัญหา
ดังนั้นคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะที่สอง มีมติ 10 ต่อ 0 ว่าการสั่งให้ออกราชการ โดยกระทบต่อสิทธิหน้าที่ เงินเดือน การเลื่อนขั้น ต้องทำตามคำเสนอแนะคณะกรรมการสอบสวน แต่กรณีนี้มีการให้ออกจากราชการไว้ก่อน กฤษฎีกาจึงเห็นว่าไม่ถูกต้อง ชอบธรรม จึงให้แก้ไข สถานภาพจึงอยู่ระหว่างการกราบบังคมทูลฯ ซึ่งสำนักเลขาธิการนายกฯ ก็ต้องตรวจสอบ อีกเรื่อง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ก็ไปร้อง ก.พ.ค.ตร. ก็เป็นอีกเรื่องที่ต้องพิจารณา”
สิ่งที่อาจารย์วิษณุ ให้ความเห็นวันนี้ เเม้จะกระจ่างขึ้นบ้าง เเละคดีต่าง ๆ กว่าสิบคดีของสองบิ๊กตำรวจนั้น สำนวนคดีต้องเดินหน้าตามความรับผิดชอบของ ป.ป.ช. , ตำรวจ , อัยการเเละศาล
เเต่ก็ยังยากในหลักปฏิบัติ เพราะตอนนี้เกิดกระเเสข่าว เเละการปล่อยข่าวว่า สถานะของ "บิ๊กโจ๊ก" นั้นคืออะไร เพราะมีข่าวลือล่าสุดเเล้วว่า ผบ.ตร.จะยกเลิกคำสั่งให้ "บิ๊กโจ๊ก" ออกจากราชการไว้ก่อน เเละทำให้ "บิ๊กโจ๊ก" กลับสู่ฐานะรอง ผบ.ตร. ได้ทันที
เเต่หากมองย้อนกลับไปในเวลาที่ผ่านมาพบว่า "บิ๊กโจ๊ก" อาศัยช่องทางกฎหมายเด้งเชือกสู้ทุกมุม คือร้องเรียนขอความเป็นธรรมไปยังหน่วยงานต่าง ๆ เช่น ก.พ.ค.ตร. เพื่อประวิงเวลาเเละใช้เป็นข้อต่อสู้กับฝ่ายที่จะขยับ จนเรื่องราวของบิ๊กโจ๊กชะงัก ซึ่งเเตกต่างกับคดีของ “บิ๊กต่อ” ที่พบว่า เเทบไม่มีการใช้เทคนิคทางกฎหมายในการประวิงเวลา
เเละพบว่า”บิ๊กโจ๊ก” ยังไม่ได้ไปให้ถ้อยคำกับคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรงของ ตร.เลย ตรงนี้ข้อเสนอเเนะของอาจารย์วิษณุ ที่ให้ ตร.ขยับก่อนคือ สอบวินัยร้ายเเรง "บิ๊กโจ๊ก" ให้เรียบร้อยก่อนนั้น จะกระทำได้อย่างไร เพราะ "บิ๊กโจ๊ก" อารยขัดขืนเเบบนี้
บวกกับการไม่ไปชึ้เเจงกับสภาการสื่อมวลชนเเห่งชาติ กรณีจ่ายเงินให้นักข่าวบางคน วงเงินหลักล้านบาทนั้น ตรงนี้ "บิ๊กโจ๊ก" ทำไมไม่เเสดงความบริสุทธิ์ใจว่า สินน้ำใจนั้นผิดกฎหมายเเละหลักจริยธรรมของผูัให้เเละผู้รับหรือไม่ เเละตรงนีัหน่วยงานที่สอบสวนคดีของ "บิ๊กโจ๊ก" จะหยิบไปประกอบการวินิจฉัยความบริสุทธิ์ของ "บิ๊กโจ๊ก" หรือไม่
และอีกหนึ่งคำถามที่ควรพินิจคือ การที่จะเพิกถอนคำสั่งของ ตร.นั้น จะเพิกถอนโดยไม่มีคำวินิจฉัยของศาลนั้นกระทำได้หรือไม่
ความวุ่นวายดังกล่าวเเละทางออกที่อาจารย์วิษณุเเนะนั้น จะปฏิบัติได้จริง เเละเรื่องยุ่ง ๆ นี้จะยุติในสองเดือนตามที่สร.1 (นายกรัฐมนตรี) ระบุไว้หรือไม่
เเละวันข้างหน้าใครบางคนที่มีส่วนได้เสีย กับเก้าอี้ย่านปทุมวัน จะมั่นใจอย่างไรว่า จะไม่ออกมาเดินเกมอะไรให้วุ่นวายช่วงเเต่งตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่หรือไม่