
พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคการเมืองที่ผ่านร้อนผ่านหนาวทางการเมืองมาอย่างมากโชกโชน โดยถือเป็นร่างอวตารที่สามแล้วต่อจากพรรคไทยรักไทยและพรรคพลังประชาชนที่ถูกยุบไปเมื่อกว่า 10 ปีที่แล้ว
แม้พรรคเพื่อไทยจะได้ขึ้นชื่อว่าเป็นพรรคการเมืองของครอบครัวชินวัตร แต่ถ้ามองย้อนกลับไปจะพบว่าการยุบพรรคที่เกิดขึ้นถึงสองครั้งทำให้พรรคเพื่อไทยไม่ได้มีหัวหน้าพรรคที่เป็นตัวจริงเสียงจริงเสียที เพราะนักการเมืองในชายคาตึกโอเอไอ ทาวเวอร์ ที่สลับหน้ากันเป็นหัวหน้าพรรคนั้นล้วนแล้วต่างไม่ค่อยมีปากเสียงในพรรคมากเท่าใดนัก
อย่างไรก็ตาม เวลานี้พรรคเพื่อไทยเดินมาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญ เมื่อ 'แพทองธาร ชินวัตร' ประกาศรับตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทยในการประชุมพรรคเพื่อไทยวันที่ 27 ตุลาคม หากทุกอย่างเป็นไปตามที่กำหนด พรรคเพื่อไทยจะได้คนในครอบครัวชินวัตรขึ้นมาอยู่เบื้องหน้าเพื่อดูแลพรรคอีกครั้ง ต่อจากคนล่าสุด คือ 'สมชาย วงศ์สวัสดิ์' อดีตนายกรัฐมนตรี
ก่อนหน้านี้หลายคนอาจมองว่า 'แพทองธาร' อายุน้อยและยังอ่อนพรรษาในทางการเมืองพอสมควร แต่ไล่เรียงและลำดับกันจริงๆ แล้วว่าที่นายหญิงพรรคเพื่อไทยก็ผ่านสมรภูมิมาแล้วไม่ต่ำกว่า 20 ปีเช่นกัน
ปัจจุบัน 'แพทองธาร' อยู่ในวัย 37 ปี เป็นคุณแม่ลูกสอง หลายคนเรียกขานเธอเป็นกันเองว่า 'อุ๊งอิ๊งค์' แต่จริงๆ แล้วชื่อเล่นอย่างเป็นทางการต้องเรียกว่า ‘อิ๊งค์’ เฉยๆ ซึ่งเจ้าตัวเคยเล่าไว้ในหนังสือ คนอื่นเรียกนายกฯ แต่เราเรียก...พ่อ บางส่วนว่า "อิ๊งชื่ออิ๊งนะคะ แต่ทุกคนมักจะเรียก อุ๊งอิ๊ง หรือไม่ก็อุ๋งอิ๋งไปเลย อาจเพราะตอนเป็นเด็กแบะเบาะอยู่ คนทักทายก็จะทำเสียงอุ๊งอิ๊งๆ ลุงก็เรียกอุ๊งอิ๊ง ความจริงก็คืออิ๊ง ที่บ้านจะเรียกน้องอิ๊ง แต่คุณลุงที่ไปคุยกับนักข่าวเขาเรียกอุ๊งอิ๊ง นักข่าวก็เลยเรียกอิ๊งเป็นอุ๊งอิ๊งกันหมดเลย แล้วคนอื่นชอบเรียกอิ๊งว่าอุ๋งอิ๋ง ซึ่งเพี้ยนไป"
การเมืองกับชีวิตของแพทองธารแทบจะเป็นเรื่องที่แยกกันไม่ออก ซึ่งอย่างที่เกริ่นไปตอนแรกว่าการเมืองได้พัวพันในชีวิตของสุภาพสตรีท่านนี้มาตั้งแต่เมื่อ 20 ปีก่อนในระหว่างที่ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ ‘ทักษิณ ชินวัตร’ ในบรรดาลูกสามคนของทักษิณ ‘แพทองธาร’ ดูจะเป็นคนที่มีชื่อปรากฏในพื้นที่สื่อสารมวลชนมากที่สุด ต่างจากพี่ชายและพี่สาวที่สองคนนั้นจะมีชื่ออยู่ในแวดวงของสายงานธุรกิจมากกว่า
ปี 2547 นายกฯ ทักษิณ กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นทางการเมืองและเป็นผู้นำรัฐบาลจากการเลือกตั้งที่มีเสถียรภาพเข้มแข็งอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แพทองธารที่เวลานั้นมีอายุเพียง 18 ปี ได้ไปฝึกงานเป็นพนักงานของร้านแมคโดนัลด์ สาขาสยามสแควร์ ซึ่งทักษิณก็ได้เดินทางไปซื้ออาหารที่ร้านนั้นด้วยตัวเอง พร้อมกับบอกถึงสาเหตุที่ลูกสาวมหาเศรษฐีคนสุดท้องมาฝึกงานร้านฟาสต์ฟู้ดรับค่าตอบแทนชั่วโมงละ 23.75 บาทว่าอยากให้ได้ประสบการณ์ และอยากให้มาทำงานกับคนอื่นด้วย ซึ่งตัวเองก็เคยทำงานในลักษณะนี้มาก่อนเช่นกันสมัยเรียนอยู่ต่างประเทศ
นับจากนั้นสปอตไลต์เริ่มสาดมาที่แพทองธารมากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเธอก็ได้เริ่มรู้จักการเมืองไทยในแบบที่ตัวเองคาดไม่ถึง โดยเฉพาะระหว่างการใช้ชีวิตความเป็นนักศึกษาในรั้วคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ก้าวแรกของการเป็นนิสิตจุฬาฯ ในปี 2547 เริ่มมีข่าวออกมาว่ามีกระบวนการทำข้อสอบรั่ว เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับเธอ เพราะมีการตั้งข้อสังเกตว่าเหตุใดถึงทำคะแนนสอบได้สูงถึง 286.5 คะแนน ทั้งที่ในการสอบเอนทรานซ์รอบแรกทำคะแนนรวมได้เพียง 184.25 คะแนนเท่านั้น ส่งผลให้ ‘อดิศัย โพธารามิก’ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการขณะนั้น ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง แต่ก็ไม่อาจหาข้อสรุป และแพทองธารก็ได้เป็นนิสิตจุฬาฯ อย่างเต็มภาคภูมิ
เรื่องนี้แม้จะผ่านมากว่า 20 ปีแล้ว แต่ในทางการเมืองก็ยังถูกหยิบยกขึ้นมาอีกหลังจากเข้ารับตำแหน่งประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรมของพรรคเพื่อไทย เมื่อปี 2564 ซึ่งถือเป็นก้าวแรกของการลงสนามการเมืองอย่างเป็นทางการเพื่อเตรียมสู้ศึกเลือกตั้งในปี 2566 โดยเวลานั้นแพทองธาร ชี้แจงประเด็นนี้ว่า “จุฬาฯ เส้นเข้าได้ด้วยหรอคะ คำถามบางทีต้องใช้วิจารณญาณด้วยค่ะ สอบเข้าไปเองค่ะ อ่านหนังสือ เรียนพิเศษเป็นบ้าเป็นหลังเหมือนเด็กที่เตรียมเอนท์ในสมัยนั้นทุกคน ...เรื่องนี้เก่าไปมาก เขาสอบสวนกันจบเรียบร้อยตั้งแต่ก่อนเข้าเรียนแล้ว” แต่กระนั้นในฐานะลูกนายกฯ แพทองธารยอมรับว่าเคยใช้เส้นเหมือนกันก็แค่การเข้าไปทำงานพาร์ตไทม์เป็นพนักงานที่ร้านแมคโดนัลด์
ตลอดระยะเวลาการเป็นนิสิตจุฬาฯ ของคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นลูกนายกฯ จะว่าไปแล้วก็ไม่ราบรื่นเท่าใดนัก เพราะขณะนั้นคาบเกี่ยวกับช่วงเวลาที่มีกระแสต่อต้านการทำงานของรัฐบาลทักษิณก่อนกลายมากลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แน่นอนว่านักวิชาการหลายคนจากสถาบันการศึกษาชื่อดังรวมทั้งจุฬาฯ ก็เริ่มโจมตีการทำงานของรัฐบาลอย่างชัดเจน ความกดดันที่เกิดขึ้นในรั้วมหาวิทยาลัยทำให้ครั้งหนึ่งครอบครัวชินวัตรถึงกับต้องถามว่าจะลาออกหรือไม่กันเลยทีเดียว ซึ่งตัวแพทองธารยืนยันที่จะขอใช้ชีวิตนิสิตรั้วจามจุรีตามเดิม
“..แม่ปลอบว่าไม่เป็นไรนะ ต้องเข้าใจนะ พ่อเดินมาได้ยินโดยบังเอิญฟังที่อิ๊งเล่าจบก็เดินมาบอกว่า ‘อดทนหน่อยนะลูก แย่จังนะเกิดเป็นลูกพ่อ’ ... มีอยู่ช่วงหนึ่งที่อิ๊งรู้สึกกดดันอย่างหนัก ทำให้ทุกคนในครอบครัวต้องถามว่า ‘ออกไหม?’ อิ๊งบอกว่า ‘อิ๊งไม่ออก ถ้าอิ๊งออกถือว่าอิ๊งแพ้’” ความในใจตอนหนึ่งที่เล่าไว้ในหนังสือเล่มเดียวกัน
แรงกดกันจากกระแส ‘ทักษิณออกไป’ ที่ลามมาถึงภายในรั้วมหาวิทยาลัยที่ว่าหนักแล้ว แต่ก็ยังไม่เท่ากับความชุลมุนทางการเมืองภายหลังเกิดการรัฐประหารล้มรัฐบาลทักษิณในปี 2549 ซึ่งการรัฐประหารในครั้งนั้นไม่ได้เพียงแต่เปลี่ยนชีวิตของทักษิณเท่านั้น แต่รวมไปถึงน้องเล็กสุดของครอบครัวชินวัตรอีกด้วย
กลับไปตอนนั้น แพทองธารเป็นสายเลือดของทักษิณเพียงคนเดียวที่ตัดสินใจอยู่ประเทศไทย เพื่อเรียนต่อที่จุฬาฯ ให้จบ ต่างจากคนอื่นที่ตัดสินใจไปใช้ชีวิตในต่างประเทศก่อน เนื่องจากเมืองไทยหลังจากการรัฐประหารใหม่ๆ ฝุ่นตลบพอสมควร แม้ว่าด้วยศักยภาพของครอบครัวชินวัตรจะสามารถให้แพทองธารออกจากมหาวิทยาลัยกลางคันและไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศได้ แต่เธอปฏิเสธ เพราะต้องการสำเร็จการศึกษาที่จุฬาฯ ให้ได้ เพื่อพิสูจน์ตัวเอง โดยมีบ้างที่เธอต้องสลับไปๆ มาระหว่างต่างประเทศกับประเทศไทย จนกระทั่งก็เรียนจบตามที่ตั้งใจไว้
แพทองธารเป็นคนเดียวของตระกูลที่ไม่มีคดีที่ถูกตรวจสอบโดยคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้ความเสียหายแก่รัฐ หรือ คตส. ต่างจากคนอื่นในครอบครัวอย่าง ‘พานทองแท้-พิณทองทา’ ที่มีคดีที่เป็นผลมาจากการขายหุ้นของกลุ่มชินคอร์ปให้กับกลุ่มเทมาเส็ก แต่ถึง ‘อิ๊งค์’ จะไม่มีคดีเหมือนกับพี่ทั้งสองคน เธอก็ยังเคยเดินทางไปกับพี่ชายถึงห้องสอบสวนของ คตส. มาแล้วเช่นกัน
แม้ว่าห้วงเวลาหนึ่งต้นปี 2551 ครอบครัวชินวัตรจะมีข่าวดีอยู่บ้าง เพราะทักษิณได้เดินทางกลับประเทศไทย เพื่อมาต่อสู้คดีทั้งหมด แต่ความยินดีของคนในตระกูลก็ต้องยุติลงเมื่อศาลอาญาชั้นต้นพิพากษาให้คุณหญิงพจมาน มีความผิดในคดีเลี่ยงภาษีในการขายหุ้นบริษัทชินวัตร คอมพิวเตอร์ จำกัด โดยภาพที่ปรากฏต่อสาธารณะเวลานั้นนอกจากจะมีอดีตนายกฯ ที่เข้ามาให้กำลังใจภรรยาแล้ว ลูกสาวคนเล็กก็ได้มาอยู่ข้างๆ ด้วยพร้อมกับการทำหน้าสีประหนึ่งไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาของศาล
ในหนังสือเล่มดังกล่าวมีคำสัมภาษณ์ของแพทองธารที่ระบุถึงสาเหตุที่ทำสีหน้าอย่างนั้นกลางห้องพิจารณาคดีของศาลว่า “..อิ๊งฟังแล้วคิดว่านี่กฎหมายเหรอ มาตราไหน แล้วผิดยังไงล่ะ มันออกทางสีหน้าอิ๊ง..แล้วตอนที่นั่งในนั้น เราไม่กล้าคุยเล่นกัน เดี๋ยวพ่อจะดุว่าเราไม่เคารพ อิ๊งกับพี่เอมเลยส่ง SMS คุยกัน คิดยังไงกับที่เขากำลังอ่าน อิ๊งหงุดหงิด หน้าก็เริ่มไปแล้ว จริงๆ อิ๊งคิดว่าเป็นกล้องวงจรปิดที่ถ่ายไปให้คนที่มาเป็นกำลังใจอยู่ข้างนอกดูแค่นั้น” อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันคดีดังกล่าวได้ถึงที่สุดแล้ว โดยศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายกฟ้องและอัยการสูงสุดไม่ได้ยื่นฎีกาเพื่อต่อสู้คดีในชั้นศาลสูงสุดแต่อย่างใด
หลังจากเรียนจบ แรงกดดันทางการเมืองที่เธอเคยได้รับมาก่อนนั้นก็ดูเหมือนจะเบาบางลง เพราะประเทศไทยเข้าสู่การเลือกตั้งในปี 2550 และเป็นพรรคพลังประชาชน ร่างอวตารที่สองของพรรคไทยรักไทยได้รับชัยชนะและเป็นรัฐบาล แพทองธารก็ได้ไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษและสำเร็จการศึกษาอย่างที่ตั้งใจ เพื่อกลับมาพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อันเป็นหนึ่งในธุรกิจหลักของครอบครัว และตัดสินใจแต่งงานในปี 2562 กับ ‘ปิฎก สุขสวัสดิ์’ อดีตนักบิน โดยงานมงคลสมรสได้จัดขึ้นที่ประเทศไทยและฮ่องกง ซึ่งการจัดงานแต่งงานที่ฮ่องกงทำให้ ‘ทักษิณ’ ผู้เป็นพ่อได้มีโอกาสกล่าวอวยพรลูกสาวคนเล็กในงานแต่งงานด้วยตัวเอง
"ถ้าถามว่าเขาเป็นได้ไหม ผมว่าเขาเป็นได้ดีทีเดียว เขาบรรลุนิติภาวะแล้ว ผมไปชี้นำเขาไม่ได้ เขาต้องเลือกเองว่าจะเป็นหรือไม่เป็น ผมครอบครองได้ในฐานะเป็นพ่อ แต่ครอบงำเขาไม่ได้ เพราะเขาโตแล้ว เขาคิดเองได้ เขามีครอบครัว ผมก็แล้วแต่เขา แค่เขาทุ่มเททำงานกับพรรคมาขนาดนี้ ผมคิดว่าพรรคก็ grateful (ปลื้ม) มากแล้ว ...เขาเป็นคนมีคาแรคเตอร์ ซึ่งผมยอมรับว่าบางอย่างผมไม่มีนะ เขาได้ดีเอ็นเอแม่มาผสมด้วย ผมว่าเขาทำได้ดีกว่าผม เอาอย่างนี้ดีกว่า" ทักษิณ พูดถึงแพทองธารผ่านรายการ ‘CareTalk x CareClubHouse : เติมเงินครั้งใหญ่ คนไทยไร้จน! ไม่จกตาแน่นะวิ?’ เมื่อวันที่ 21 มีนาคม ที่ผ่านมา
จากแคนดิเดตนายกฯ ในวันนั้น มาเวลานี้ได้มีโอกาสเดินเข้าทำเนียบรัฐบาลในฐานะรองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ และก้าวขึ้นสู่บัลลังก์หัวหน้าพรรคเพื่อไทย โดยมีภารกิจสำคัญ คือ การปฏิรูปพรรคเพื่อไทยที่ใช้ต้นทุนทางการเมืองไปหมดแล้วจากการเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคสองลุง ให้ทันสมัยเข้าถึงคนรุ่นใหม่ เพราะการต่อสู้ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ฝ่ายตรงข้ามจะไม่ใช่นักการเมืองรุ่นพ่อเหมือนที่ผ่านมา แต่เป็นพรรคก้าวไกลที่ครั้งหนึ่งเคยชนะพรรคเพื่อไทยมาแล้วนั่นเอง
ข้อมูลอ้างอิง