
World of Change EP.1 พาไปดูผลกระทบจาก การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) เรารวบรวมปัญหาจากทั่วโลก เพื่อให้ทุกคนตระหนักถึงปัญหาและเห็นความสำคัญของปัญหาเหล่านี้
รับชมรายการได้ที่นี่ :
ปัจจุบันโลกกำลังเผชิญกับสิ่งที่เรียกว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ซึ่งเป็นปัญหา และสถานการณ์ที่ทั่วโลกล้วนได้รับผลกระทบ
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศ ที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมของมนุษย์ที่เปลี่ยนองค์ประกอบของบรรยากาศโลกโดยตรง หรือโดยอ้อม นอกจากนี้ยังเป็นผลของความแปรปรวนจากสภาวะอากาศตามธรรมชาติ เช่น อุณหภูมิ ความชื้น ปริมาณน้ำฝนฤดูกาล ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิต ภาวะโลกร้อน ส่งผลต่อการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิต เนื่องด้วยระอับอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ฤดูกาลต่างๆ มีการเปลี่ยนแปลงไปสิ่งมีชัวิตจำเป็นจะต้องปรับตัวต่อความเปลี่ยนเเปลงดังกล่าว
ในส่วนผลกระทบต่อมนุษย์จากอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้น อาจจะทำให้พื้นที่ที่เป็นทะเลทรายมีจำนวนมากขึ้น อีกยังส่งผลกระทบต่อการขาดเเคลนน้ำ เเละอาหาร บางพื้นที่ประสบปัญหาน้ำท่วมหนัก เนื่องจากฝนตกรุนแรงขึ้น น้ำแข็งขั้วโลกและบนยอดเขาสูงละลาย ทำให้ปริมาณน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น พื้นที่ชายฝั่งทะเลได้รับผลกระทบโดยตรงและในบางพื้นที่จมหายไปอย่างถาวร
การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศนั้น เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างช้าๆ และใช้เวลานานกว่าที่จะสังเกตพบได้ แต่กิจกรรมของมนุษย์ในช่วง 100 ปีที่ผ่านมาหรือตั้งแต่ในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ทำให้การสะสมก๊าซเรือนกระจกและการเก็บกักความร้อนในชั้นบรรยากาศเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จนเกิดภาวะโลกร้อน ส่งผลให้ภูมิอากาศมีการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน ดังจะเห็นได้จากความแปรปรวนของสภาพอากาศ ที่เกิดขึ้นทั่วโลกในปัจจุบัน ในขณะที่หลายประเทศกำลังเผชิญกับผลกระทบ เเละสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป
สำหรับประเทศเกาหลีใต้ สถานการณ์ Climate change กำลังส่งผลกระทบต่อการผลิตอาหารหลักของเกาหลีใต้อย่าง "กิมจิ" เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลให้อุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น เป็นปัจจัยหนึ่งที่ก่อให้เกิดโรคในดิน ที่ส่งผลเสียต่อพืชผัก
หนึ่งในแหล่งผลิตกิมจิที่สำคัญของเกาหลีใต้ คือจังหวัดคังวอน โดยผลิตกิมจิจากผักกาดขาวเป็น ร้อยละ 93 ของเกาหลีใต้ ได้รับผลกระทบจากภาวะที่อุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น และรูปแบบสภาพอากาศที่ไม่แน่นอน ทำให้หน่วยงานภาครัฐของเกาหลีใต้ ต่างคาดการณ์สถานการณ์เกี่ยวกับประเด็นนี้ว่า อาจทำให้พื้นที่เพาะปลูกผักกาดขาวลดลง และมีโอกาสที่จะลดลงอย่างต่อเนื่องมากยิ่งขึ้นในอนาคต
ทางด้าน คิม ซี-กับ ประธานสมาคมผู้ผลิตผักกาดขาวและหัวไชเท้า ไฮจ์แลนด์ แห่งหมู่บ้าน อันบันเดกี เมืองคังนึล จังหวัดคังวอน ซึ่งเป็นเกษตรกรที่เพาะปลูกผักกาดขาว เพื่อทำกิมจิมานานกว่า 50 ปี กล่าวว่า
การเพาะปลูกเกิดการเปลี่ยนเเปลง ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และยังกล่าวว่า เกษตรกรต้องดิ้นรน ปรับตัวเพื่อความอยู่รอด ทำให้ในส่วนของต้นทุนนั้นเพิ่มขึ้นจากการปรับตัวสำหรับอุณหภูมิที่สูงขึ้น
ในขณะที่นักวิจัยกำลังริเริ่มดำเนินการด้านต่างๆ เพื่อต่อสู้กับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อการปลูกผักกาดขาว รวมถึงการพัฒนาพันธุ์ผักกาดขาวที่ทนความร้อนและต้านทานโรค เพื่อรักษาการเพาะปลูกผักกาดขาวในเกาหลีใต้เอาไว้
ในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา พื้นที่ทางใต้ของยุโรปเผชิญคลื่นความร้อนอย่างต่อเนื่อง ทำให้ในหลายพื้นที่ประสบภัยแล้ง โดยเฉพาะที่กรีซ ได้รับผลกระทบ จากสถานการณ์ Climate change หลังจากที่พื้นที่ทางเหนือของกรีซ เผชิญกับวิกฤติน้ำครั้งใหญ่ จากภาวะแห้งแล้งยาวนาน และรุนแรงมากยิ่งขึ้น จากคลื่นความร้อนที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง และฝนตกน้อย ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ เกิดภาวะขาดแคลนน้ำ ทะเลสาบแห้งเหือด ขณะที่น้ำใต้ดิน กำลังลดลงและกลายเป็นน้ำกร่อย
ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ได้เรียกร้องให้มีการจัดทำโครงการสาธารณะ เพื่อฟื้นฟูแหล่งน้ำสะท้อนเสียงเรียกร้องของผู้เชี่ยวชาญ ที่ระบุว่า จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในการจัดการน้ำ เพื่อบรรเทาผลกระทบอันเลวร้ายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ด้านชาวบ้าน ระบุว่า เป็นเรื่องยากต่อการรับมือกับการตัดน้ำในครัวเรือนบ่อยครั้ง ซึ่งอาจกินเวลานานถึง 5 วัน การใช้น้ำจำเป็นต้องใชอย่างประหยัด คุ้มค่า และเกิดประโยชน์ให้มากที่สุด เช่น ล้างจานแล้วเอาน้ำไปใช้ต่อในสวน เป็นต้น
คอนสแตนตินอส เอส.วูดูริส ผู้เชี่ยวชาญด้านธรณีวิทยา จากมหาวิทยาลัยเทสซาโลนิกิ ให้ความเห็นเกี่ยวกับเเนวทางในการป้องกันเเละเเก้ไขในประเด็นดังกล่าวว่า
ประการแรก เราต้องการการอนุรักษ์และใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ หลีกเลี่ยงการสิ้นเปลืองในเครือข่ายการถ่ายเทและที่อื่นๆ ประการที่สอง เราจำเป็นต้องกักเก็บน้ำไว้ในเขื่อนขนาดเล็ก อ่างเก็บน้ำ และถังเก็บน้ำ ประการที่สาม เราต้องนำน้ำเสียที่ผ่านการบำบัดแล้ว กลับมาใช้ใหม่โดยโรงบำบัดทางชีวภาพ
วูดูริส กล่าวต่อว่า เครือข่ายน้ำที่ล้าสมัย กำลังทำให้สูญเสียน้ำมากเกินไป และการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน จะต้องเน้นที่การรวบรวมและกักเก็บน้ำฝน ในช่วงฤดูฝน รวมถึงการนำน้ำเสียที่ผ่านการบำบัดแล้ว กลับมาใช้ใหม่สำหรับภาคเกษตรกรรม
พื้นที่เกษตรกรรม ในภูมิภาคเซมเบอริเจีย ทางตะวันออกเฉียงเหนือของบอสเนีย ตกอยู่ในสภาพเหมือนถูกย่าง ด้วยสภาพอากาศที่รุนแรงสุดขีด โดยเผชิญคลื่นความร้อน ถึง 3 ระลอก ในปีที่ผ่านมาชาวไร่ต้องจำใจเฝ้ามองต้นข้าวโพดแห้งตาย
โดยความร้อนส่งผลต่อพืชผล และระอองเรณู ในระยะการสืบพันธุ์ อุณหภูมิที่สูงกว่า 34 องศาเซลเซียส ทำให้ละอองเรณูไม่เจริญเติบโต ในขณะที่อุณหภูมิระหว่าง 30 ถึง 34 องศาเซลเซียส ซึ่งทำให้ผลผลิตข้าวโพดลดลง
สตีแวน เมซาโรวิช นักวิชาการเกษตร ให้ความเห็นว่า
เรามีสถิติและหลักฐานทางภาพเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การสะสมพลังงานความร้อนในปริมาณมหาศาล และอัตราการระเหยที่มากเกินไป ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อภาคการเกษตรของบอสเนีย และสภาพอากาศกำลังเปลี่ยนแปลง แปรปรวนรุนแรง มีแนวโน้มว่าจะเกิดขึ้นบ่อยขึ้นในอนาคต
เกษตรกรเผยว่า ปีนี้ผลผลิตน้อย ส่วนข้าวโพดก็จำเป็นต้องรีบเก็บเกี่ยว และคาดว่าจะได้ผลผลิตที่ต่ำมาก จำนวนที่เหลืออยู่ไม่เพียงพอ และได้สูญเสียผลผลิตจากที่คาดไว้ไประหว่าง 40-60 เปอร์เซ็นต์
หลังจาการผลิตโกโก้ในแอฟริกาตะวันตกลดลงเนื่องจากโรคระบาด และการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ทำให้ราคาโกโก้ในตลาดสหรัฐฯ มีราคาเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากความต้องการของตลาดเพิ่มมากขึ้น
โดยปกติแล้วต้นโกโก้จะเติบโตในภูมิภาคที่อยู่ในระดับเกือบ 20 องศาเหนือและใต้ของเส้นศูนย์สูตร ที่มีสภาพอากาศอบอุ่นและฝนชุ่มฉ่ำ ซึ่งรวมถึงแอฟริกาตะวันตกและอเมริกาใต้ แต่การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ที่ทำให้โลกร้อนขึ้น ส่งผลให้โกโก้หลายพันธุ์ไม่อาจต้านทานได้ ทำให้ผลผลิตลดลงอย่างมากในทั่วโลก
ด้วยเหตุนี้ทำให้ แคลิฟอร์เนีย คัลเจอร์ California Cultured บริษัทสตาร์ทอัพเพาะเลี้ยงเซลล์พืชในสหรัฐฯ เร่งคิดค้น และวิจัยหาแนวทางการปลูกโกโก้ที่ได้ผลผลิตมากขึ้น หรือ พัฒนาสารทดแทนโกโก้ เพื่อให้สามารถผลิตช็อกโกแลตได้เพียงพอกับความต้องการด้วยการเพาะเลี้ยงเซลล์โกโก้ในห้องแลบที่เมืองเวสต์ ซาคราเมนโต
แพลนเน็ต เอ ฟูดส์ (Planet A Foods) ในเมืองพลาเน็กก์ ของเยอรมนี ได้พัฒนาสารทดแทนโกโก้ ด้วยการทดสองใช้วัตถุดิบหลากหลายตั้งแต่ มะกอก จนถึงสาหร่าย และจบลงด้วยการใช้ข้าวโอ๊ตผสมกับเมล็ดทานตะวัน ซึ่งเป็นส่วนผสมที่ลงตัวที่สุดในการทำช็อกโกแลต ที่ไม่ใช้โกโก้ และเรียกผลิตภัณฑ์นี้ว่า “โชวิว่า” (ChoViva) ซึ่งสามาถนำไปใช้ทำขนมอบได้
ขณะที่ผู้ประกอบการบางรายพยายามพัฒนาแนวทางการปลูกโกโก้ตามธรรมชาติให้ได้ผลผลิตมากขึ้น เช่น มาร์ส (Mars) ผู้ผลิตช็อกโกแลต เอ็มแอนด์เอ็ม (M&M) และ สนิกเกอร์ส (Snickers) มีห้องวิจัยอยู่ที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ในเมืองเดวิส และมุ่งพัฒนาสายพันธุ์โกโก้ที่มีความแข็งแรงและต้านทานโรคได้มากขึ้น เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในประเทศที่เป็นแหล่งเพาะปลูกและเป็นหลักประกัน
ส่วนบริษัทแคลิฟอร์เนีย คัลเจอร์ กำลังมีแผนยื่นขออนุญาตจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ เพื่อให้ผลผลิตได้รับการรับรองว่าเป็นช็อกโกแลต เพราะโกโก้ที่เพาะจากห้องแลบมีลักษณะทางพันธุกรรมเหมือนโกโก้ เพียงแต่ไม่ได้เก็บเกี่ยวมาจากต้นก็ตาม
แม่น้ำปา-รา-กวัย มีต้นกำเนิดในบราซิล เป็นทางน้ำยาว 3,400 กิโลเมตร ไหลผ่านหลายประเทศ ได้แก่ อาร์เจนตินา บราซิล อุรุกวัย ปา-รา-กวัย และโบลิเวีย และลงสู่ทะเลเปิด ซึ่งเป็นเส้นชีวิตทางเศรษฐกิจของภูมิภาค แต่หลังจากภัยแล้งที่รุนแรงในป่าฝนแอมะซอน ทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำปา-รา-กวัย ลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบกว่าทศวรรษ
ส่งผลกระทบในหลายด้าน เช่น ด้านการคมนาคมขนส่งสินค้า โดยระดับน้ำที่ลดลง ส่งผลให้เรือประมงหลายสิบลำ ที่โดยทั่วไปแล่นไปตามทางน้ำ ต้องจอดอยู่บนฝั่งทรายที่เหือดแห้ง
ผู้เชี่ยวชาญ ระบุว่า
การที่แม่น้ำปา-รา-กวัยแห้งแล้ง เช่นเดียวกับแม่น้ำสายอื่นๆ ตั้งแต่สหรัฐฯ ฝรั่งเศส ไปจนถึงแอมะซอนของบราซิล สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตของจำนวนประชากร การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการตัดไม้ทำลายป่า แสดงถึงการมีธรรมาภิบาลที่อ่อนแอ และแนวทางปฏิบัติด้านการชลประทาน ที่ไม่มีประสิทธิภาพในการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ เปลี่ยนแปลงระบบนิเวศที่ละเอียดอ่อน และดิ้นรนหาแหล่งน้ำจืดของชุมชนต่างๆ
ฝรั่งเศส ได้นำร่องด้วยการ "แบน" การบินเพื่อการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ ที่ใช้เวลาไม่นาน เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หลังจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฝรั่งเศส ได้ลงมติรับรองกฎหมายฉบับใหม่ ห้ามให้บริการ เที่ยวบินระยะสั้นในประเทศ ที่มีเส้นทางที่สามารถเดินทางด้วยรถไฟได้ ภายในเวลาไม่เกิน 2 ชั่วโมง 30 นาที
เพื่อลดการแพร่กระจายของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นสาเหตุของภาวะโลกร้อน ซึ่งเฉลี่ยแล้ว เครื่องบินจะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ต่อผู้โดยสาร 1 คน มากกว่ารถไฟถึง 77 เท่า
การห้ามเที่ยวบินระยะสั้น ถูกบังคับใช้เป็นกฎหมาย เมื่อเดือนพฤษภาคมปีที่ผ่านมา โดยมีผลบังคับใช้ 2 ปี ซึ่งอยู่ภายใต้พระราชบัญญัติสภาพภูมิอากาศปี 2021 ของฝรั่งเศส ถือว่าเป็นก้าวสำคัญของนโยบายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ที่ฝรั่งเศสเป็นผู้บุกเบิก
เส้นทางที่ห้ามใช้เครื่องบิน ประชาชนสามารถเดินทางด้วยรถไฟแทนได้ แต่มาตรการนี้ยังถูกมองว่า เป็นแค่การแบนเชิงสัญลักษณ์ ส่งผลเพียงเล็กน้อยต่อการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ สิ่งสำคัญ คือ การจัดการเรื่องปัญหาเชื้อเพลิงฟอสซิล รวมถึงการจัดการภาษีมลพิษต่อสายการบินต่างๆ
ซึ่งในอนาคตจะมีสายการบินพลังงานไฮโดรเจนเกิดขึ้นเป็นแห่งแรกของโลก จากบริษัท เอ็คโคเจ็ต ที่ได้ทำการดัดแปลงส่วนปีกและเครื่องยนต์ให้เป็นรุ่นใหม่ เพื่อคุณสมบัติในการขับเคลื่อนพลังงานสะอาด รองรับผู้โดยสารได้กว่า 70 ที่นั่ง เพื่อลดการปล่อยคาร์บอนให้เหลือศูนย์ คาดว่าจะช่วยลดการปล่อยคาร์บอน ได้มากกว่า 90,000 ตันต่อปีต่อลำ
และนี่คือผลกระทบจาก Climate Change หรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปรากฏการณ์ที่ไม่ได้แค่ทำให้โลกของเราร้อนขึ้น แต่ยังสร้างแรงกระเพื่อมที่ส่งผลกระทบในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นภัยพิบัติที่ทวีความรุนแรงขึ้น
นี่คือช่วงเวลาที่เราต้องร่วมมือกันเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงเพราะทุกการกระทำของเราในวันนี้ จะเป็นตัวกำหนดอนาคตของโลกที่เราจะส่งต่อให้กับคนรุ่นถัดไป