ฟุตบอลโลก 2022 รอบรองชนะเลิศคืนนี้ แชมป์เก่า "ตราไก่" ทีมชาติฝรั่งเศส จะลงสนามพบกับ "สิงโตแอตลาส" ทีมชาติโมร็อกโก ที่สร้างประวัติศาสตร์เป็นชาติแรกจากทวีปแอฟริกาที่เข้ามาถึงรอบนี้ ในเวลา 02.00 น.
การเผชิญหน้ากันระหว่างโมร็อกโกและฝรั่งเศส ถือเป็นเกมแห่งศักดิ์ศรีที่มีมากกว่าแค่ฟุตบอล แต่เป็นการรื้อฟื้นบาดแผลจากยุคอาณานิคม และจุดประกายการถกเถียงเรื่องอัตลักษณ์ เชื้อชาติ และศาสนา
โมร็อกโก ดินแดนทางตอนเหนือของทวีปแอฟริกา มีความเกี่ยวพันกับชาติยุโรปมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 โดยตกเป็นอาณานิคมของ สเปน และฝรั่งเศส ก่อนจะได้รับเอกราชในปี 1956
เส้นทางการตกเป็นอาณานิคม และการได้รับเอกราชของโมร็อกโก
ด้วยการตกเป็นอาณานิคมของสองชาติยุโรปโดยเฉพาะฝรั่งเศส ทำให้การเผชิญหน้าระหว่างฝรั่งเศสและโมร็อกโกในคืนนี้จะเป็นมากกว่าแค่ฟุตบอล ตั้งแต่ความสัมพันธ์ในยุคอาณานิคมในอดีตไปจนถึงกระแสการอพยพของชาวแอฟริกาเหนือที่หลั่งไหลเข้าไปอยู่ในยุโรป โดยชาวโมร็อกโกจำนวนมากอพยพไปทำงานในโรงงานของฝรั่งเศสในช่วงทศวรรษ 1960-70 และปัจจุบันมีชาวโมร็อกโกในฝรั่งเศสมากถึง 1.5 ล้านคน โดยครึ่งหนึ่งมี 2 สัญชาติ ซึ่งการผสมผสานกันระหว่างคนสองชาตินี้ทำให้สมาชิกในทีมฟุตบอลของทั้งสองประเทศ มีทั้งนักเตะทีมชาติฝรั่งเศสเชื้อสายโมร็อกโก และทีมชาติโมร็อกโกเชื้อสายฝรั่งเศส
ในวันที่ทีมชาติฝรั่งเศสคว้าแชมป์โลก ทั้งในปี 1998 และ 2018 ชาวโมร็อกโกจำนวนมากมองว่านั่นคือความสำเร็จของชาวแอฟริกา เพราะทัพนักเตะ "ตราไก่" เต็มไปด้วยนักฟุตบอลเชื้อสายแอฟริกันที่ถูกดึงตัวไปด้วยแรงจูงใจด้านความสำเร็จในอาชีพ ทำให้เกมในคืนนี้ ชาวโมร็อกโกมองว่า หากทีมของพวกเขาเอาชนะได้ก็จะเป็นการเรียกศักดิ์ศรีของชาติแอฟริกันที่ถูกกดขี่ในศตวรรษก่อนกลับมา
“เชิงสัญลักษณ์ มันจะเรียกศักดิ์ศรีของประเทศและของประชาชนที่ถูกกดขี่โดยอำนาจอาณานิคมกลับคืนมา” อานาส ดาอิฟ ผู้สื่อข่าวที่เป็นหนึ่งในชาวโมร็อกโกที่เกิดในฝรั่งเศส กล่าว
ที่ผ่านมา ชาวโมร็อกโกมองว่าพวกเขาเปรียบเสมือนเป็นพลเมืองชั้นสองของฝรั่งเศส ถูกกีดกันในหลายด้าน ทั้งการเหยียดผิว การใช้ความรุนแรงเกินจำเป็นของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เช่นเดียวกับทางฝั่งของพรรคการเมืองบางส่วนของฝรั่งเศสที่มองว่าการหลั่งไหลเข้ามาของชาวโมร็อกโกกลายเป็นการมาแย่งงานของประชาชนในประเทศ
และนั่นก็ทำให้เกมวันนี้เกิดความหวั่นเกรงว่าจะเกิดความรุนแรงขึ้นไม่น้อย
เชรัลด์ ดาร์มาแน็ง รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยของฝรั่งเศส เผยว่าได้เตรียมเจ้าหน้าที่ตำรวจ 10,000 นายคอยประจำการเตรียมพร้อมทั่วประเทศ โดยครึ่งหนึ่งจะอยู่ในเขตกรุงปารีสในวันที่มีการแข่งขัน เพื่อเตรียมรับมือกับสถานการณ์ทั้งก่อนเกม ระหว่างเกม และหลังเกม