svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

วิเคราะห์ “อนุทิน” ยุบสภา พรรคไหนได้เปรียบ-เสียเปรียบ

อ.รัฐศาสตร์ วิเคราะห์ “อนุทิน” ยุบสภา ในห้วงเวลานี้ พรรคไหนได้เปรียบ-เสียเปรียบ ระหว่าง ภูมิใจไทย ประชาชน เพื่อไทย

12 ธันวาคม 2568 รศ.ดร.อรรถสิทธิ์ พานแก้ว อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เปิดเผยว่า การที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศยุบสภาในช่วงกลางดึกของวันที่ 11 ธ.ค.2568 หลังพรรคประชาชนเตรียมยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลนั้น ถือเป็นการชิงธงความได้เปรียบทางการเมืองของพรรคภูมิใจไทยที่มีนัยสำคัญอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่ามกลางสถานการณ์ที่ประเทศไทยกำลังเผชิญมรสุมหลากหลายด้าน ซึ่งการตัดสินใจของนายกฯ ในนาทีนี้ ทำให้พรรคภูมิใจไทยได้เปรียบในสนามการเลือกตั้ง 69 ที่กำลังจะเกิดขึ้น

 

รศ.ดร.อรรถสิทธิ์ พานแก้ว อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

 

ทั้งนี้ เนื่องจากขณะนี้พรรคภูมิใจไทยกำลังได้รับแรงสนับสนุน และมีภาพลักษณ์เชิงบวกจากท่าทีในเหตุการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา และเหตุการณ์ไทย-กัมพูชาก็ได้กลบเรื่องการแก้ปัญหาน้ำท่วม จ.สงขลา ไปแล้ว ขณะเดียวกัน พรรคภูมิใจไทยยังประสบความสำเร็จจากนโยบายคนละครึ่งพลัสที่ได้ปูทางเอาไว้ในเฟสแรก และกำลังจะเข้าสู่เฟสสอง ซึ่งถือเป็นผลงานชิ้นโบแดงที่ทิ้งเชื้อไว้ในการหาเสียงรอบหน้า ฉะนั้นการตัดสินใจไปตายเอาดาบหน้าด้วยกระสุนและทรัพยากรบุคคลที่ตุนเอาไว้อย่างเต็มที่ จึงถือเป็นการชิงธงความได้เปรียบทางการเมือง

วิเคราะห์ “อนุทิน” ยุบสภา พรรคไหนได้เปรียบ-เสียเปรียบ

 

“เหตุการณ์น้ำท่วมและการรับมือที่ไม่ได้ดี อาจเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ทำให้นายกฯ ตัดสินใจยุบสภาเร็ว เพราะพรรคภูมิใจคงไม่อยากให้เรื่องนี้กระจายไปมาก เปรียบได้กับคนมีแผลแล้วเชื้อความไม่ไว้วางใจภูมิใจไทยมีโอกาสลามไปทั้งประเทศ ว่าบริหารล้มเหลว บริหารไม่เป็น ซึ่งในขณะเดียวกันเกิดเรื่องชายแดนไทย-กัมพูชา ที่พอทำให้ภาพลักษณ์ของนายกฯ และพรรคภูมิใจไทยดีขึ้น เมื่อประเมินแล้วจึงกล้าเสี่ยง เพราะหากชั่งน้ำหนักดูแล้ว โดยรวมยังเสียหายไม่มาก แต่ถ้าช้ากว่านี้อาจมีแผลมากกว่านี้ เพราะตอนนี้ยังเพิ่งเป็นช่วงต้นของขาลงรัฐบาล” รศ.ดร.อรรถสิทธิ์ กล่าว

 

นักวิชาการธรรมศาสตร์ กล่าวอีกว่า นอกจากเรื่องน้ำท่วมภาคใต้แล้ว ถือว่าพรรคภูมิใจไทยไม่มีแผลจากการเป็นรัฐบาลในครั้งนี้มากนัก ฉะนั้นการหาเสียงในภาคใต้ โดยเฉพาะ จ.สงขลา คงต้องเหนื่อยหน่อย แต่สำหรับจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา อาทิ สระแก้ว สุรินทร์ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ อาจจะแทบไม่ต้องออกแรง เพราะเป็นคะแนนที่จะมาโดยธรรมชาติจากการที่นายกฯ ยืนหยัดสู้ศึกเต็มที่

“การไม่ทำตาม MOA ที่ให้ไว้กับพรรคประชาชน อาจจะไม่มีผลต่อพรรคภูมิใจไทยเท่าใด เนื่องจากฐานคะแนนเสียงของพรรคภูมิใจไทยกับพรรคประชาชนไม่เคยปะปนกันอยู่แล้ว คนที่เลือกพรรคภูมิใจไทยไม่ได้สนใจในเรื่องนโยบายหรือแนวทางเดียวกับพรรคประชาชน นี่จึงถือว่าจบภารกิจการเข้ามาเป็นรัฐบาลชั่วคราวเพื่อยุบสภา เปิดทางเลือกตั้ง และจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ ตามที่พรรคภูมิใจระบุไว้เสมอว่าพูดแล้วทำ ซึ่งพูดแล้วทำจะเป็นสิ่งที่ถูกนำไปเคลมในการเลือกตั้งรอบหน้า”รศ.ดร.อรรถสิทธิ์ กล่าว

 

วิเคราะห์ “อนุทิน” ยุบสภา พรรคไหนได้เปรียบ-เสียเปรียบ

 

ประเมิน 3 พรรค ใครได้เปรียบ-เสียเปรียบ

 

รศ.ดร.อรรถสิทธิ์ กล่าวต่อไปว่า การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นนี้จะเป็นการต่อสู้กันทางการเมืองของ 3 ขั้ว ได้แก่ พรรคภูมิใจไทย พรรคประชาชน และพรรคเพื่อไทย ซึ่งหากวิเคราะห์เป็นรายพรรคจะพบว่า

 

พรรคภูมิใจไทย ได้เปรียบตรงที่ไม่ต้องหา สส.เขตเพิ่ม แต่ต้องรักษาเขตเดิมให้ได้ ประกอบกับยังมีบ้านใหญ่อีกหลายบ้านที่จะย้ายเข้ามาอยู่ด้วย และได้เปรียบจากการเป็นรัฐบาลรักษาการ และการแต่งตั้งโยกย้ายในช่วงก่อนการยุบสภา

 

วิเคราะห์ “อนุทิน” ยุบสภา พรรคไหนได้เปรียบ-เสียเปรียบ

 

พรรคประชาชน มีข้อเสียเปรียบในแง่ภาพลักษณ์จากการโหวตให้ภูมิใจไทยเป็นรัฐบาลอย่างแน่นอน และการหาเสียงเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญที่ในการเลือกตั้งรอบหน้าอาจไม่ได้เป็นประเด็นที่สังคมให้ความสนใจมากเป็นอันดับต้นๆ เมื่อเทียบกับปัญหาชายแดน น้ำท่วม ภัยพิบัติ แต่ก็ยังคงความได้เปรียบในเรื่องการเป็นพรรคที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงและอุดมการณ์ทางการเมือง ซึ่งจะช่วยสร้างความนิยมในพื้นที่เมืองได้อยู่

 

วิเคราะห์ “อนุทิน” ยุบสภา พรรคไหนได้เปรียบ-เสียเปรียบ

 

พรรคเพื่อไทย แน่นอนว่าเสียเปรียบทั้งตัวเลข สส. ที่ไหลออก รวมถึงผู้นำอย่างคุณทักษิณ ชินวัตร ที่ยังไม่ได้ออกมาบัญชาการการเลือกตั้งด้วยตัวเอง ประกอบกับผลงานรัฐบาลในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ก็ไม่ได้พิสูจน์ว่าเป็นพรรคที่ตอบสนองความต้องการของประชาชนได้เหมือนเดิมอีกต่อไป

 

วิเคราะห์ “อนุทิน” ยุบสภา พรรคไหนได้เปรียบ-เสียเปรียบ

 

“หากจะวิเคราะห์การเลือกตั้งครั้งหน้า ผมมองว่าพรรคประชาชนจะโดดเดี่ยวและเสียเครดิตในการต่อรองเป็นอย่างมาก เพราะเลือกที่จะหักเพื่อไทยไปจับกับภูมิใจไทย แล้วกลับถูกภูมิใจไทยหักอีกที ดังนั้นอำนาจการต่อรองจึงจะกลับมาอยู่ที่พรรคเพื่อไทยแทน แต่คำถามคือพรรคเพื่อไทยจะมีเสียงให้ต่อรองในสภาเพียงพอหรือไม่ ซึ่งในสัปดาห์นี้จะเป็นช่วงจัดทัพการเลือกตั้งของนักการเมือง สิ่งที่ต้องจับตาคือเรื่องการย้ายพรรคของ สส. ทั้งหน้าเก่าและใหม่ แต่ก็คงต้องดูว่าพระราชกฤษฎีกาการเลือกตั้งออกมาแล้วจะย้ายพรรคกันทันไหม” รศ.ดร.อรรถสิทธิ์ กล่าว