svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

โฆษก กต.เผยยังไม่ได้รับการประสานจากผู้นำสหรัฐฯ ต่อสายถึงนายกฯ

โฆษก กต.เผยยังไม่ได้รับการประสานจากผู้นำสหรัฐฯ ต่อสายถึงนายกฯ – ย้ำประเทศไทยยังไม่พร้อมเจรจา - ขอเลขาฯ UN ตั้ง คกก.สอบกัมพูชาละเมิด-ไม่รับผิดชอบต่ออนุฯ ออตตาวา

นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา กล่าวระหว่างการหาเสียงที่รัฐเพนซิลเวเนีย เมื่อวานนี้ (9 ธ.ค.) โดยได้พูดถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ในวันนี้ (10 ธ.ค.) จะโทรศัพท์ไปหาผู้นำสองประเทศ เพื่อหยุดสงครามระหว่างชาติมหาอำนาจสองประเทศไทยและกัมพูชา หลังไทยและกัมพูชา ลงนามปฏิญญากัวลาลัมเปอร์ไปเมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมาแล้วว่า จนขณะนี้ กระทรวงการต่างประเทศ ยังไม่ได้รับการติดต่ออย่างเป็นทางการ และยังเห็นเพียงข่าวจากโซเชียลมีเดีย ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศ ยังไม่ได้รับการติดต่อใด ๆ ที่จะมีการพูดคุยกันในระดับผู้นำ ดังนั้น จึงไม่น่าจะมีการพูดคุยกันตามที่เป็นข่าว หรือหากจะมีการพูดคุยกันตามที่เป็นข่าว ก็จะต้องมีการรับฟังก่อนว่า ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ต้องการจะส่งข้อความใดถึงประเทศไทย หรือเพียงเป็นการแสดงความหวังดี

 

โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ยังระบุด้วยว่า หากจะมีการเสนอให้มีการพูดคุยถึงการเจรจา คำตอบที่ฝ่ายไทยจะให้กับสหรัฐอเมริกา ก็น่าจะเป็นคำตอบเดียวกับมาเลเซีย คือ ประเทศไทย ยังไม่พร้อมเจรจา

โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ยังแถลงถึงพัฒนาการล่าสุดในสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาว่า ฝ่ายไทยได้ขอให้ เลขาธิการสหประชาชาติใช้กลไกสหประชาชาติ จัดตั้งคณะผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เป็นอิสระ ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากการร่วมประชุมอนุสัญญาออตตาวา ระหว่าง 4-5 ธันวาคมที่ผ่านมาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไทย โดยเป็นครั้งแรกในการเสนอตั้งคณะผู้ตรวจสอบฯ นับตั้งแต่อนุสัญญาฯ มีผลใช้บังคับ เพราะที่ผ่านมากัมพูชาบ่ายเบี่ยงในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดมาตลอด และประเทศไทยไม่มีทางเลือกอื่น จึงได้ขอให้เลขาธิการสหประชาชาติได้ดำเนินการ เพื่อรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของอนุสัญญาที่ประเทศรัฐภาคี ละเมิดพันธกรณีและไม่แสดงความรับผิดชอบ จึงควรได้รับการตรวจสอบตามอนุสัญญา พร้อมขอให้ประชาชนมั่นใจว่า ประเทศไทย จะเดินหน้าประสานงานกับหน่วยงานอนุสัญญา และสหประชาชาติ ให้ดำเนินการในเรื่องนี้ เพื่อให้กัมพูชารับผิดชอบต่อการกระทำ และประเทศไทย จะเดินหน้าเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่อธิปไตยไทย เพื่อความปลอดภัยประชาชน 

โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ยังระบุว่า เมื่อวานนี้ (9 ธ.ค.) คณะผู้สังเกตการณ์อาเซียนประจำประเทศไทย ได้ลงพื้นที่ที่โรงพยาบาลค่ายสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี เพื่อติดตามเหตุการณ์ปะทะตั้งแต่ห้วง 7 ธันวาคมที่ผ่านมา พร้อมเยี่ยมทหารไทยผู้บาดเจ็บ พร้อมยืนยันว่า ฝ่ายไทย ยังยึดมั่นในความโปร่งใส เพื่อให้มีกลไกอิสระอาเซียน เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างอิสระ เป็นกลางทุกขั้นตอน

โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ยังย้ำว่า ที่ผ่านมากระทรวงการต่างประเทศ ได้ดำเนินการประท้วงกัมพูชาแล้ว 2 ฉบับ เพื่อให้กัมพูชายุติการยั่วยุ และคุกคามอธิปไตยไทย รวมถึงรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตั้งแต่เกิดเหตุปะทะเมื่อ 7 ธันวาคมที่ผ่านมา และกระทรวงการต่างประเทศ ได้บรรยายสรุปแก่คณะทูตานุทูต และผู้แทนองค์การระหว่างประเทศประจำประเทศไทยต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว เมื่อ 8 ธันวาคมที่ผ่านมา รวมถึงเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ นครนิวยอร์ก ได้มีหนังสือถึงเลขาธิการสหประชาชาติ และประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หรือ UNSC เพื่อแจ้งให้ทราบถึงการละเมิดอธิปไตยของฝ่ายกัมพูชา ที่โจมตีประเทศไทยโดยไม่เลือกเป้าหมาย และชี้แจงความจำเป็นของประเทศไทยในการตอบโต้ เพื่อป้องกันตนเอง พร้อมขอให้ประชาคมโลก กดดันกัมพูชาให้ยุติความเป็นปรปักษ์ทุกรูปแบบ เพื่อร่วมกับประเทศไทยในการแก้ปัญหาอย่างสันติวิธี โดยสถานทูต และสถานกงสุลไทยทั่วโลก ได้ชี้แจงประเทศเจ้าบ้านให้รับทราบสถานการณ์ รวมถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศหลายสัญชาติ เพื่อให้รับทราบข้อเท็จจริงแล้ว ซึ่งเป็นการดำเนินการเชิงรุกของกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อป้องกันการบิดเบือนข้อมูลของฝ่ายกัมพูชา 

โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ได้ขอให้ประชาชนคนไทยในกัมพูชา ที่ไม่มีเหตุจำเป็นในการพำนักในกัมพูชา พิจารณาเดินทางออกจากกัมพูชา และคนไทยที่ไม่มีความจำเป็น งดเว้นการเดินทางไปกัมพูชา จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย เพื่อคำนึงถึงความปลอดภัยในพื้นที่ ซึ่งประชาชนที่มีเหตุฉุกเฉิน สามารถติดต่อสถานทูตไทยในกรุงพนมเปญ และสถานกงสุลใหญ่เสียมราฐได้ 

ส่วนกรณีนักกีฬาซีเกมส์ชาวกัมพูชาขอถอนตัวจากการแข่งขันนั้น โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ชี้แจงว่า กระทรวงการต่างประเทศ ไม่ได้รับการประสานงาน เนื่องจาก ฝ่ายกัมพูชาติดต่อกับการกีฬาแห่งประเทศไทย หรือ กกท.โดยตรง ซึ่งเป็นสิทธิของฝ่ายกัมพูชา แต่ฝ่ายไทยนั้น นายกรัฐมนตรี ได้กำชับให้แยกเรื่องกีฬา และชายแดนออกจากกัน และเมื่อชาวกัมพูชาอยู่ในประเทศไทย ให้ดูแลความปลอดภัยสูงสุด ซึ่งหากนักกีฬาชาวกัมพูชา ยังอยู่ต่อประเทศไทย เพื่อร่วมแข่งขันต่อ ก็พร้อมอำนวยความสะดวกความปลอดภัยอย่างสูงสุด แต่เมื่อนักกีฬาตัดสินใจกลับ ประเทศไทยก็ไม่สามารถห้ามได้