
นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีที่กัมพูชา เริ่มเปิดฉากปะทะฝ่ายไทยครั้งใหม่ว่า รัฐบาลจำเป็นต้องเร่ง “ถอดบทเรียนแห่งความล้มเหลว” จากการบริหารวิกฤติน้ำท่วมหาดใหญ่ นำมาปรับใช้กับการเตรียมความพร้อมในพื้นที่ 7 จังหวัดชายแดนไทย–กัมพูชา เพื่อป้องกันไม่ให้ความผิดพลาดเดิม ซ้ำรอยอีกครั้ง เพราะ “การบริหารภายใต้ภาวะวิกฤติ” ไม่ได้หมายถึงเพียงการใช้เครื่องมือด้านความมั่นคงเท่านั้น หากแต่คือการคุ้มครอง “ชีวิต ทรัพย์สิน และความเชื่อมั่นของประชาชน” ควบคู่กับ “การประสานงานแบบบูรณาการระหว่างหน่วยงานรัฐทุกระดับได้อย่างไร้รอยต่อ” เพราะบทเรียนที่เจ็บปวดจากเหตุการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่ คือ การขาดศูนย์บัญชาการกลาง (Single Command Center) และการทำงานที่ไม่สอดประสานอย่างบูรณาการกัน ระหว่างรัฐบาลส่วนกลางกับท้องถิ่น ซึ่งจะต้องไม่เกิดขึ้นอีก โดยเฉพาะในสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา ที่รัฐบาลจำเป็นต้องวางยุทธศาสตร์ความร่วมมือ ทั้งภายในและระหว่างประเทศอย่างเป็นระบบ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ทางการทูตเชิงยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน นั่นคือการ “ทำให้โลกล้อมกัมพูชา” บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงและความเป็นประเทศที่ยึดมั่นในกฎหมายระหว่างประเทศ เคารพในกฎบัตรสหประชาชาติ และบรรทัดฐานของประชาคมโลกของฝ่ายไทย
มาตรการภายในประเทศนั้น นายมาริษ เห็นว่า รัฐบาลควรเตรียมแผนอพยพ ร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างละเอียดและทันต่อเหตุการณ์ เพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนอย่างเป็นเอกภาพ พร้อมยกระดับการเฝ้าระวังภัยต่อพลเรือนตลอด 24 ชั่วโมง และสื่อสารข้อมูลอย่างแม่นยำ รวดเร็ว และโปร่งใส ซึ่งบทเรียนสำคัญที่ต้องตระหนักคือ ที่ผ่านมากัมพูชาใช้อาวุธหนักโจมตีโดยไม่เลือกเป้าหมาย และก็อาจจะใช้วิธีเดียวกันนี้อีกครั้ง หากเกิดการปะทะกันอีก รัฐบาล ต้องประเมินว่าการอพยพอย่างรอบคอบรัดกุม และควรจัดเตรียม “หลุมหลบภัย” ให้เพียงพอ และพัฒนาศูนย์อพยพให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐานที่เหมาะสม รองรับความเป็นอยู่ของประชาชนได้อย่างสมบูรณ์ ครอบคลุมบริการที่จำเป็นมากกว่าอาหารและที่พัก เช่น รถพยาบาลเคลื่อนที่ ห้องน้ำเคลื่อนที่ นักจิตวิทยา รวมถึงพื้นที่สันทนาการสำหรับเด็ก เพื่อเยียวยาความตึงเครียดในภาวะวิกฤต
นายมาริษ ยังเสนอให้รัฐบาลใช้ยุทธศาสตร์ระหว่างประเทศในการเดินเกมให้ “โลกล้อมกัมพูชา” ที่รัฐบาล จะต้องเดินหน้าอย่างเป็นระบบ ในการควบคุมบทบาทประเทศที่สามให้สมดุล ต้องป้องกันไม่ให้ประเทศมหาอำนาจเข้ามาชี้นำการแก้ไขปัญหา และใช้กลไกทางการทูตทุกระดับทั้งทวิภาคี และพหุภาคีอย่างสมดุล เพื่อเปิดเผยข้อเท็จจริงเชิงรุกต่อประชาคมโลก การประท้วงกัมพูชาในเวทีอนุสัญญาออตตาวาถือเป็นเรื่องที่ดี แต่ยังไม่เพียงพอ จำเป็นต้องขับเคลื่อนคู่ขนานกับการชี้ให้ประชาคมโลกเห็นว่า “กัมพูชาเป็นผู้ละเมิดกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ” ผ่านคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องขององค์กรสหประชาชาติตามที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยเคยวางรากฐานไว้ ไม่ว่าจะเป็นประเด็นการโจมตีแบบไม่เลือกเป้าหมาย การใช้อาวุธที่มีลักษณะ offensive หรือการใช้ข่าวปลอมเพื่อบิดเบือนข้อเท็จจริงอย่างต่อเนื่อง และเพื่อเสริมความน่าเชื่อถือของประเทศไทยในสายตานานาชาตินั้น นายมาริษ เสนอว่า รัฐบาลควรเร่งดำเนินการ 2 เรื่องสำคัญ ได้แก่ การมอบหมายกระทรวงการต่างประเทศ ชี้แจงประชาคมโลกผ่านช่องทางทวิภาคีและพหุภาคีอย่างชัดเจนว่า กัมพูชาเป็นฝ่ายเปิดฉากยิงก่อน และการพิจารณาใช้กล้องติดตัวทหาร หรือ Bodycam ในพื้นที่ชายแดน เพื่อสร้างหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ “กัมพูชาไม่อาจปฏิเสธได้” และสนับสนุนการทำงานของกระทรวงการต่างประเทศในการนำเสนอข้อเท็จจริงต่อโลกอย่างรัดกุมและทันท่วงที
นายมาริษ ยังเห็นว่า ทิศทางการทูตที่แท้จริง และต้องปิดเกมโดยไม่เสียเปรียบ สิ่งสำคัญที่สุดนั้น การกล่าวอ้างว่าจะเดิน "การทูตเชิงรุก" เพื่อ "ปิดเกมเขมร" โดย "ไม่เสียกระสุน" นั้น จากการปะทะกันล่าสุดเมื่อวานนี้ ทำให้เห็นชัดเจนว่าอาจด่วนสรุปเร็วเกินไป หากรัฐบาลยังไม่มียุทธศาสตร์เชิงรุกที่เป็นระบบ ก็ยากจะทำให้เกิดผลสัมฤทธิ์ได้ ดังนั้น สิ่งที่ไทยต้องทำให้ได้ คือ การเจรจากดดันกัมพูชาอย่างมีศักดิ์ศรีและมีน้ำหนักทั้งโดยการเจรจาทวิภาคี และการยืมมือมิตรประเทศ และมหาอำนาจช่วยกดดัน, การสื่อสารได้โดยตรงกับทุกประเทศ รวมถึงมหาอำนาจ โดยไม่พึ่งพาประเทศที่สาม และการไม่เปิดช่องให้กัมพูชายืมมือผู้อื่น โดยเฉพาะมหาอำนาจ สร้างแรงกดดันย้อนกลับมายังไทย นายมาริษ ยังยืนยันว่า ที่ผ่านมา รัฐบาลพรรคเพื่อไทยไม่เคยพลาดพลั้ง ไม่เคยเสียเปรียบในเวทีโลก ไม่ยอมให้กัมพูชาพลิกเกมจนเกิดภาพ “โลกล้อมไทย” ได้ เพราะไทยสามารถเจรจากับมิตรประเทศได้โดยตรง และสื่อสารกับมหาอำนาจทั้งสหรัฐฯ และจีนได้อย่างสมดุล มีศักดิ์ศรี และสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นแนวทางที่ไทยต้องกลับมาฟื้นฟูอย่างเร่งด่วน และต้องตระหนักว่า “เวทีพหุภาคีเพียงอย่างเดียว” ไม่อาจทดแทนพลังของ “การเจรจาทวิภาคีแบบตรงไปตรงมา” ซึ่งการละเลยประเด็นสำคัญจุดนี้ ได้เปิดโอกาสให้กัมพูชาเก็บแต้มทางการทูตจากสหรัฐไปแล้วเรียบร้อย