svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

"นิกร" มอง ครม.ไม่อาจตั้งคำถาม "ประชามติเรื่องรัฐธรรมนูญ" ได้เองแล้ว

"นิกร" มอง ครม.ไม่อาจตั้งคำถาม "ประชามติเรื่องรัฐธรรมนูญ" ได้เองแล้ว เหตุ คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ชัดเจน ว่ารัฐสภาเท่านั้นที่ต้องเป็นผู้ริเริ่มร้องขอให้ ครม.จัดให้มีการออกเสียงประชามติ

3 ธันวาคม 2568 นายนิกร จำนง ในฐานะอดีตเลขานุการ กมธ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ กล่าวว่า จากการเสนอความเห็นว่าให้ ครม.เร่งรัดตั้ง คำถามที่ 1 เสียเองว่า "ประชาชนจะเห็นสมควรให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หรือไม่" นั้นไม่สามารถจะกระทำได้ จำเป็นจะต้องรอให้มีมติจากรัฐสภาเสียก่อนเมื่อรัฐสภามีมติแล้ว ให้ดำเนินการตามมาตรา 9 (1) ของพ.ร.บ.ประชามติ แจ้งให้นายกรัฐมนตรีทราบ และให้นายกรัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้มีการออกเสียงตามวันที่กำหนดตามที่ได้หารือร่วมกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง

ซึ่งต้องไม่เร็วกว่า 60 วันและไม่ช้ากว่า 150 วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากประธานรัฐสภา ดังนั้นจำเป็นต้องรอให้รัฐสภาเปิดสมัยประชุมเสียก่อนจึงจะดำเนินการดังกล่าวไปตามข้อบังคับของการประชุมรัฐสภา ซึ่งรัฐสภาและครม.จะต้องร่วมกันพิจารณากันเองว่าจะรอออกมติพร้อมกับคำถามที่ 2 ตอนพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญวาระ 3 แล้วเสร็จช่วงปลายเดือนนี้หรือไม่อย่างไร

 

 

นายนิกร อธิบายให้รายละเอียดว่า โดยสรุปศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า “เพื่อให้เป็นไปตาม หลักอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญของประชาชน การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 จำเป็นต้องจัดให้มีการออกเสียงประชามติสามครั้ง

 

"นิกร" มอง ครม.ไม่อาจตั้งคำถาม "ประชามติเรื่องรัฐธรรมนูญ" ได้เองแล้ว

 

 

ครั้งที่หนึ่ง หากรัฐสภาประสงค์จะจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ รัฐสภาต้องร้องขอให้คณะรัฐมนตรีจัดให้มีการออกเสียงประชามติก่อนการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมที่มีบทบัญญัติว่าด้วยการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของรัฐสภา เพื่อให้ความเห็นชอบ ว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ ซึ่งอาจเกิดขึ้นก่อนการเสนอญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ต่อรัฐสภาตามมาตรา 256 (1)

ครั้งที่สอง การออกเสียงประชามติให้ความเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติมซึ่งได้ดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 และเพิ่มหมวด 15/1 การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่รัฐสภาพิจารณาญัตติเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมกรณีดังกล่าว จนแล้วเสร็จ ซึ่งต้องเป็นการให้ความเห็นชอบแต่ละประเด็นทุกประเด็น ทั้งวิธีการและเนื้อหา ในร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมก่อนการดำเนินการต่อไปของรัฐสภา

และครั้งที่สาม ภายหลังจากจัดทำ ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จแล้ว อนึ่ง การออกเสียงประชามติครั้งที่หนึ่งและครั้งที่สองอาจดำเนินการพร้อมกันในคราวเดียวได้ ซึ่งประชาชนย่อมมีสิทธิและเสรีภาพในการออกเสียงประชามติทุกครั้ง"

 

จากคำวินิจฉัยดังกล่าวจึงเป็นที่ชัดเจนว่า รัฐสภาต้องเป็นผู้ริเริ่มตั้งคำถามที่ 1 ว่าประชาชนจะเห็นสมควรให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ กระบวนการดำเนินการเพื่อเป็นจุดเริ่มต้นคำถามที่ 1 อาจดำเนินการโดย รัฐสภาเสนอญัตติล่วงหน้าเป็นหนังสือต่อประธานรัฐสภา โดยมีสมาชิกรัฐสภารับรองไม่น้อยกว่า 10 คน ตามข้อบังคับการประชุมรัฐสภา ข้อ 29 ว่าประชาชนจะเห็นสมควรให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ โดยเป็นการเสนอญัตติเพื่อดำเนินการตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 18/2568 ที่ระบุว่า “การทำประชามติครั้งที่หนึ่ง หากรัฐสภาประสงค์จะจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ รัฐสภาต้องร้องขอให้คณะรัฐมนตรีจัดให้มีการออกเสียงประชามติก่อนการพิจารณา

ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมที่มีบทบัญญัติว่าด้วยการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของรัฐสภา เพื่อให้ความเห็นชอบ ว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่” โดยเป็นการทำประชามติตามมาตรา 9 (1) แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. 2564 ซึ่งมาตรา 10 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 ที่กำหนดว่า “เมื่อมีกรณีที่จะต้องจัดให้มีการออกเสียงตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และเป็นเรื่องเกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 9 (1) ให้ประธานรัฐสภาแจ้งให้นายกรัฐมนตรีทราบ และให้นายกรัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้มีการออกเสียงตามวันที่กำหนดตามที่ได้หารือร่วมกับคณะกรรมการ ซึ่งต้องไม่เร็วกว่าเก้าสิบวันและไม่ช้ากว่าหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากประธานรัฐสภา ทั้งนี้ หากพิจารณาเห็นว่าวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่เป็นการเลือกตั้งทั่วไปหรือวันเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น เนื่องจากดำรงตำแหน่งครบวาระแล้วแต่กรณี อยู่ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน อาจกำหนดให้วันออกเสียงเป็น วันเดียวกับวันเลือกตั้งก็ได้ แต่ต้องไม่เร็วกว่าหกสิบวันและไม่ช้ากว่

 

 

ดังนั้น จากวินิจฉัยดังกล่าวจึงเป็นที่ชัดเจนว่า รัฐสภาต้องเป็นผู้ริเริ่มตั้งคำถามที่ 1 ว่าประชาชนจะเห็นสมควรให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ โดยกระบวนการดำเนินการเพื่อเป็นจุดเริ่มต้นคำถามที่ 1 ดำเนินการโดยรัฐสภาเสนอญัตติล่วงหน้าเป็นหนังสือต่อประธานรัฐสภา โดยมีสมาชิกรัฐสภารับรองไม่น้อยกว่า 10 คน ตามข้อบังคับการประชุมรัฐสภา ข้อ 29 ว่าประชาชนจะเห็นสมควรให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ และเป็นการทำประชามติตามมาตรา 9 (1) ประกอบมาตรา 10 วรรคหนึ่งแห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. 2564 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 โดยเมื่อรัฐสภามีมติแล้วให้แจ้งให้นายกรัฐมนตรีทราบ และให้นายกรัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้มีการออกเสียงตามวันที่กำหนดตามที่ได้หารือร่วมกับคณะกรรมการ ซึ่งต้องไม่เร็วกว่า 60 วันและไม่ช้ากว่า 150 วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากประธานรัฐสภา