svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

ทูตไทยประจำ UN ร่อนหนังสือแจง UNSC แฉ กัมพูชาลอบวางทุ่นระเบิดใหม่

ทูตไทยประจำ UN ร่อนหนังสือแจง UNSC แฉ! กัมพูชาลอบวางทุ่นระเบิดใหม่แถมยิงใส่ไทยก่อน – วอนประชาคมโลกบี้กัมพูชารับผิดชอบ และยุติการกระทำอันเป็นปฏิปักษ์-ยั่วยุทั้งหมด

นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ทำหนังสือถึงเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรเซียร์ราลีโอนประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์กในฐานะประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หรือ UNSC ประจำเดือนพฤศจิกายน 2025 เพื่อชี้แจงโดยเร่งด่วนถึง พัฒนาการล่าสุดเกี่ยวกับการกระทำต่อเนื่องของกัมพูชาที่เป็นปฏิปักษ์และยั่วยุต่อประเทศไทย

 

โดยย้ำว่า เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 ไทยและกัมพูชาได้ลงนาม "ถ้อยแถลงผลการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรไทยและนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรกัมพูชา ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย" ผ่านการเป็นคนกลางในการประสานงานของนายกรัฐมนตรีมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียน และประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ซึ่งถือเป็นพัฒนาการและความมุ่งมั่นสำคัญในการยุติสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชาอย่างสันติ

นับตั้งแต่นั้น ไทยได้ดำเนินมาตรการที่จำเป็นทุกประการที่จะยึดมั่นต่อคำมั่นที่ให้ไว้ และขับเคลื่อน การดำเนินการตามถ้อยแถลงดังกล่าว ด้วยจิตวิญญาณแห่งการอยู่ร่วมกันฉันมิตรกับเพื่อนบ้าน ความเป็น น้ำหนึ่งใจเดียวกันของอาเซียน และการเคารพกฎหมายระหว่างประเทศ รวมถึงกฎบัตรสหประชาชาติอย่างสัมบูรณ์

 

ในส่วนของความร่วมมือด้านการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมนั้น ไทยและกัมพูขาได้จัดตั้งคณะทำงานประสานงานร่วม (Joint Coordinating Task Force - JCTF) ด้านการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม รวมถึงจัดทำมาตรฐานขั้นตอนการปฏิบัติ (Standard Operating Procedures - SOP)เพื่อกำหนดพื้นที่ที่มีลำดับความสำคัญตามแนวชายแดนที่จะเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม รวมถึงประสานงานในการวางแผนและปฏิบัติการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม ซึ่งภายใต้กลไกดังกล่าว ทั้งสองฝ่ายได้เห็นชอบ พื้นที่เป้าหมายลำดับแรกในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมในจังหวัดสระแก้วของไทยแล้ว

 

แต่เป็นที่น่าเสียใจว่า เมื่อวันที่ 10พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ห่างเพียง2 สัปดาห์หลังการลงนามถ้อยแถลงฯ และท่ามกลางพัฒนาการเชิงบวกในความร่วมมือด้านการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมทหารไทย ซึ่งปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนตามเส้นทางที่ใช้ตามปกติในพื้นที่ห้วยตามาเรีย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ได้เหยียบทุ่นระเบิด โดยจากการตรวจสอบพบว่าเป็นทุ่นระเบิดประเภท PMN-2 ที่ถูกวางใหม่ ทำให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บสาหัส 4 นาย โดยหนึ่งนายต้องสูญเสียขาขวา

ทั้งนี้ ขอย้ำว่า ตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นมา ได้เกิดเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับทุ่นระเบิดในแผ่นดินไทยแล้ว 7 ครั้ง รวมถึงเหตุการณ์ข้างต้น ทำให้ทหารไทยรวม 7 นาย พิการถาวร โดยแต่ละนายต้องสูญเสียขาการใช้ทุ่นระเบิดของกัมพูชาอย่างต่อเนื่องถือเป็นการไต่ตรองไว้ล่วงหน้าและผิดกฎหมาย ซึ่งถือเป็นการละเมิดอย่างร้ายแรงต่ออนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (Anti-Personnel Mine Ban Convention - APMBC)กฎบัตรสหประชาชาติ และอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย

 

ภายหลังเหตุทุ่นระเบิดล่าสุด ไทยได้มีหนังสืออย่างเป็นทางการถึงเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรญี่ปุ่นประจำการประชุมว่าด้วยการลดอาวุธ ในฐานะประธานการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาฯ ครั้งที่ 22 เพื่อรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และแสดงความกังวลต่อการละเมิดอนุสัญญาฯ ของกัมพูชาอย่างต่อเนื่อง โดยได้แนบสำเนาหนังสือดังกล่าวมาพร้อมนี้ด้วย

 

ยิ่งไปกว่านั้น น่าเสียใจเป็นอย่างยิ่งว่า เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน๒ฃ 2658 ทหารกัมพูชาจงใจ ยิงใส่ทหารไทยที่ประจำการในพื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว ซึ่งอยู่ในดินแดนของไทย โดยถือเป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทยอย่างชัดเจนทหารไทยจำเป็นต้องยิงเตือนกลับด้วยอาวุธเล็กเพื่อป้องกันตนเอง ตามหลักการความจำเป็นและได้สัดส่วนอย่างเคร่งครัด การยิงตอบโต้ระหว่างกัน

 

โดยฝ่ายกัมพูชายิงรวม 30นัด ก่อให้เกิดความเสียหายต่อฝ่ายไทย และในเวลาต่อมา มีเสียงปืนกลประมาณ 5 นัดจากฝั่งกัมพูชาแต่ฝ่ายไทยไม่ได้ยิงตอบโต้ การดำเนินการของไทยต่อการยั่วยุรอบนี้ของกัมพูชาเป็นการใช้สิทธิโดยชอบธรรมในการป้องกันตนเองของไทย โดยสอดคล้องอย่างสัมบูรณ์กับกฎหมายระหว่างประเทศและกฎบัตรสหประชาชาติ

 

การกระทำดังกล่าวเป็นเรื่องที่น่าตำหนิอย่างยิ่งที่หลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่และสื่อมวลชนกัมพูชาได้เผยแพร่ข้อมูลเท็จโดยกล่าวหาว่า เหตุการณ์ดังกล่าวริเริ่มโดยฝ่ายไทย สิ่งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เหตุการณ์นี้เป็นการยั่วยุที่ไหร่ตรองไว้ส่วงหน้าโดยกัมพูชาอีกครั้ง ซึ่งดูเหมือนมีเจตนาเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากความรับผิดชอบต่อเหตุทุ่นระเบิดที่เกิดขึ้นล่าสุด ไทยขอปฏิเสธอย่างสิ้นเชิงต่อข้อกล่าวหาที่ไร้มูลความจริงอย่างต่อเนื่องของกัมพูชา ซึ่งมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการบิดเบือนข้อเท็จจริงและเจตนาบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของประเทศไทยในประชาคมระหว่างประเทศ

 

การกระทำอันเป็นปฏิปักษ์และการยั่วยุอย่างต่อเนื่องของกัมพูชาต่อไทยมีแต่จะเพิ่มความตึงเครียดและเป็นการละเมิดอย่างชัดแจ้งต่อพันธกรณีที่มีร่วมกันภายใต้ถ้อยแถลงฯ ซึ่งเป็นการขัดขวางความพยายามของทุกฝ่ายในการส่งเสริมการแก้ปัญหาสถานการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่อย่างสันติ และเป็นการกัดกร่อนความไว้วางใจและความเชื่อมั่นซึ่งกันและกัน ด้วยเหตุนี้ ไทยจึงถูกบีบให้ต้องระงับการดำเนินการตามถ้อยแถลงๆเท่าที่เหมาะสม จนกว่าจะสามารถมั่นใจในความจริงใจและสุจริตใจของกัมพูชาได้

 

ในส่วนของไทย แม้จะมีการกระทำที่เป็นการรุกรานและเป็นปฏิปักษ์โดยเจตนาและต่อเนื่องจาก กัมพูชา แต่ไทยจะยังคงใช้ความอดกลันอย่างสูงสุดในการปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน และจะยังคง ยึดมันอย่างแน่วแน่ต่อการระงับข้อพิพาทโดยสันติวิธี ยิงไปกว่านั้น ไทยจะยังคงดำเนินการในส่วนที่เป็นองค์ประกอบสำคัญสองประการของถ้อยแถลงๆ ต่อไป คือ การเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม ซึ่งจำเป็นต่อการปกป้องพลเรือนผู้บริสุทธิ์ และการต่อสู้กับเครือข่ายหลอกลวงข้ามชาติ ซึ่งส่งผลกระทบไม่เพียงแต่ต่อพลเมืองของไทยเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้คนหลายล้านคนทั่วโลก

 

ในการนี้ ไทยร้องขอประชาคมระหว่างประเทศให้เรียกร้องต่อกัมพูชาให้รับผิดชอบอย่างเต็มที่และยุติการกระทำอันเป็นปฏิปักษ์และการยั่วยุทั้งหมดที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อประชาชนชาวไทยและถือเป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศไทยอย่างชัดเจน กัมพูชาจะต้องเคารพอย่างสูงสุด และดำเนินการตามพันธกรณีภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศและกฎบัตรสหประชาชาติโดยทันที โดยสุจริตใจและจริงใจเพื่อแสวงหาเส้นทางสู่สันติภาพกับไทย

 

ในการนี้ ขอความอนุเคราะห์ให้เวียนจดหมายฉบับนี้ รวมถึงเอกสารแนบ แก่สมาชิกคณะมนตรีความมั่นคง ๆ ทุกประเทศ ในฐานะเอกสารของคณะมนตรีความมั่นคงฯ เพื่อให้รับทราบข้อมูลข้างต้นโดยเร่งด่วน