
16 พฤศจิกายน 2568 สังคมไทยกำลังเผชิญหน้ากับความแตกแยกทางความคิด หลังการตัดสินใจของนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล ที่ประกาศ "ระงับ หรือ ยุติปฏิญญาร่วมไทย-กัมพูชา" เพื่อตอบโต้กรณีความสูญเสียของทหารไทย จากการถูกฝ่าย “กัมพูชา” คุกคามโดยการลอบวางทุ่นระเบิดใหม่ นับเป็นการแสดงท่าทีที่เป็นปรปักษ์กับไทย
และท่าทีดังกล่าวได้นำมาซึ่งผลกระทบที่สั่นคลอนต่อเศรษฐกิจ เมื่อผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) แจ้ง หยุดการเจรจาภาษี กับไทยทันที ทำให้เกิดคำถามใหญ่ในสังคมว่า การกระทำนี้คือ "การรักษาศักดิ์ศรีของชาติ" หรือ "ความเสียหายร้ายแรงเกินยอมรับ"
ล่าสุด คุณเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ซึ่งเป็นภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ได้ออกมา "ให้สติ" โดยชี้ว่า เรื่องนี้อ่อนไหวจริงๆ และเร็วเกินไปที่จะชี้ไปทางใดทางหนึ่ง (ทั้งๆ ที่ด้วยสถานะของสภาอุตสาหกรรมฯ ถือว่าได้รับผลกระทบอย่างเร็ว และแรง โดยตรง)
เพราะเงื่อนแง่สำคัญอยู่ที่ “ไทม์เฟรม” นั่นก็คือ หนังสือแจ้งหยุดการเจรจาภาษีกับไทยของผู้แทนการค้าสหรัฐฯ หรือ USTR นั้น เกิดขึ้นก่อนหรือหลังจากที่ ประธานาธิบดีทรัมป์ โทรศัพท์หานายกฯอนุทิน แล้วได้พูดจากันตามที่นายกฯอนุทินโพสต์ในเฟซบุ๊กของตัวเอง
โดยถ้าหากยึดเฉพาะที่ USTR แจ้งท่าทีมา ย่อมส่งผลกระทบต่อประเทศไทยและเศรษฐกิจไทยค่อนข้างมากแน่นอน
แต่ถ้าเรื่องราวเป็นไปในลักษณะที่ว่า USTR แจ้งมาก่อน แล้วต่อมานายกฯอนุทิน ได้คุยทำความเข้าใจกับประธานาธิบดีทรัมป์แล้ว และมีบรรยากาศดีขึ้นตามที่นายกฯอนุทิน โพสต์บอกเล่าเอาไว้ ผลกระทบก็น่าจะไม่มากนัก หรือไม่มีผลกระทบเลย
และล่าสุดที่โฆษกรัฐบาล คุณสิริพงศ์ อังคะสกุลเกียรติ ออกมาอ้างข้อมูลการติดต่อประสานงานของ นายกฯอันวาร์ อิบราฮิม ที่นำข้อความจากประธานาธิบดีทรัมป์ มาแจ้งกับนายกฯอนุทินว่า สหรัฐฯจะไม่นำเรื่องเจรจาด้านภาษีมาเกี่ยวข้องกับการระงับปฏิญญาร่วมไทย-กัมพูชาของฝ่ายไทย หากเป็นแบบนี้ การเจรจาก็จะเดินหน้าต่อไป และกำลังจะมีการนัดเจรจากันรอบใหม่ในเร็ววันนี้
ฉะนั้นรัฐบาลต้องอธิบาย “ไทม์เฟรม” ตรงนี้ให้ชัดเจน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กลับคืนมา