
12 พฤศจิกายน 2568 จากกรณีไทยประกาศหยุดปฏิญญาสันติภาพไทย-กัมพูชา และระงับการส่งกลับ 18 เชลยศึก หลังจากพบว่าทหารไทยเหยียบกับระเบิดที่ฝ่ายกัมพูชานำมาวางไว้ทำให้สูญเสียขาเป็นรายที่ 7 ที่ห้วยตามาเรีย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา
ล่าสุด รศ.ดร.ฐิติวุฒิ บุญยวงศ์วิวัชร คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แสดงความเห็นในมุมมองนักวิชาการเกี่ยวกับทิศทางของรัฐบาล อนุทิน ชาญวีรกูล ต่อกรณีดังกล่าว ว่า
จากกรณีกัมพูชา สังคมต้องแยกให้ออกระหว่างสองคำ คือ “ยุทธศาสตร์” กับ “ยุทธการ” เพราะมีผลโดยตรงต่อวิธีการตัดสินใจ
- การที่ฝ่ายการเมืองประกาศว่าพร้อมสนับสนุนให้กองทัพเป็นผู้นำด้านความมั่นคงนั้น เป็นแนวคิดที่มีปัญหาทางยุทธศาสตร์ เพราะโดยหลักแล้ว “รัฐหรือรัฐบาล” ในฐานะฝ่ายการเมือง ควรเป็นผู้กำหนดทิศทางและนโยบายด้านความมั่นคงของประเทศ ส่วน “กองทัพ” มีหน้าที่ปฏิบัติตามและวางแผนยุทธการให้สอดคล้องกับนโยบายดังกล่าว
- หน้าที่หลักของกองทัพคือ การกำหนดยุทธวิธีในการปฏิบัติการ ไม่ใช่การกำหนดยุทธศาสตร์ระดับชาติ
- ดังนั้นหากปล่อยให้กองทัพเป็นผู้กำหนดหรือชี้นำทิศทางยุทธศาสตร์เอง ย่อมทำให้ความมั่นคงระยะยาวของประเทศขาดความชัดเจน และถูกขับเคลื่อนด้วยมุมมองทางยุทธการที่มุ่งผลระยะสั้น หรือจำกัดอยู่เพียงบริบทของสนามรบและการปะทะเท่านั้น
“วิธีคิดและตรรกะแบบนี้ของรัฐบาลคุณอนุทิน ไม่ได้แตกต่างไปจากรัฐบาลชุดที่ผ่านมา ซึ่งมักโยนภาระในการตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ให้กับฝ่ายข้าราชการประจำ แทนที่จะกำหนดทิศทางด้วยวิสัยทัศน์ทางการเมืองของรัฐบาลเอง”
“ตัวอย่างชัดเจนคือการมอบหมายให้หน่วยราชการประจำ เช่น สมช. เป็นผู้กำหนดยุทธศาสตร์หลักในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยปราศจากการนำเชิงนโยบายจากฝ่ายการเมือง ผลที่ตามมาคือการดำเนินงานมีลักษณะเชิงเทคนิคมากกว่าทางยุทธศาสตร์ ขาดพลวัต และมีความล่าช้าในการขับเคลื่อนจนไม่สามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ได้อย่างทันท่วงที”