ฮังการี "แกะดำยุโรป" - บทเรียนไทยด้านนโยบาย ตปท.? พึ่งตัวเอง (มีคลิป)
ฮังการี "แกะดำยุโรป" - บทเรียนไทยด้านนโยบาย ตปท.? พึ่งตัวเอง - ไม่ทิ้งภาคเกษตรกรรม - พร้อมจับมือไทย
5 พฤศจิกายน 2568 แม้ว่า ”ฮังการี“ สมาชิกสหภาพยุโรป หรือ อียู เป็นประเทศที่มีขนาดเล็กกว่าไทย และมีประชากรแค่ราวๆ สิบล้านคนเท่านั้น แถมไม่มีทางออกทะเล หรือที่เรียกว่า land locked country
แต่ทำไมพวกเขากลับหาญกล้าแสดงบทบาทสวนทางกับอียูในวิกฤตสงครามยูเครนกับรัสเซีย โดยประกาศไม่สนับสนุนอาวุธให้ยูเครน ทั้งๆ ที่มีพรมแดนบางส่วนติดกัน ทั้งยังไม่ปฏิบัติตามมติของอียูในเรื่องการรับผู้อพยพ ทำให้ถูกฟ้องและแพ้คดีในศาลยุติธรรมแห่งสหภาพยุโรป จนถูกสั่งปรับวันละ 1 ล้านยูโร
นักวิเคราะห์แห่งสถาบันดานูบ ในกรุงบูดาเปสต์ เรียกประเทศของตัวเองว่า “แกะดำแห่งยุโรป” แต่พวกเขากลับภาคภูมิใจกับฉายานี้ และเป็นที่น่าสังเกตว่า บุคคลสำคัญที่มีอำนาจตัดสินใจในฮังการี ล้วนคิด พูด และแสดงท่าทีแบบเดียวกันอย่างมีเอกภาพ
ท่าทีที่เป็นเอกภาพ ”พูดเป็นเสียงเดียวกัน“ ของฮังการี สะท้อนผ่านผู้บริหารระดับสูงในรัฐบาลและรัฐสภาที่คณะของ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภาของไทย และ รศ.ดร.อิสระ เสรีวัฒนวุฒิ เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า เข้าพบหารือและเยี่ยมคารวะ ระหว่างเดินทางเยือนฮังการีอย่างเป็นทางการ วันที่ 2-6 พฤศจิกายน
ปธ.สภาฮังการี ชี้ “อียู” ใช้อำนาจล้นเกิน - เปรียบล่าอาณานิคม
นายลาซโล โคเวร์ ประธานรัฐสภาฮังการี กล่าวระหว่างพบปะหารือกับประธานวันนอร์ เมื่อวันอังคารที่ 4 พฤศจิกายน ตอนหนึ่งว่า ที่ผ่านมาอียูใช้อำนาจล้นเกิน เบียดบังอธิปไตยของประเทศสมาชิก โดยเฉพาะประเทศที่มีขนาดเล็ก
ฮังการีเป็นประเทศที่ไม่ได้มีขนาดใหญ่ก็จริง แต่มีเอกราชของตนเอง รัฐบาลและรัฐสภาฮังการีคือผู้พิทักษ์เอกราช ฉะนั้นพวกตนจึงไม่พอใจการใช้อำนาจที่ล้นเกินของอียู และปัญหาเกิดขึ้นเพราะเจตจำนงของอียูไม่สอดคล้องกับแนวทางที่ฮังการียึดถือ
“ฮังการีต้องการส่งเสียงให้อียูรู้ว่า ฮังการีมีเอกราชมาเป็นพันปี ประเทศต่างๆ ในยุโรปก่อตั้งขึ้นหลังฮังการีแทบทั้งสิ้น ฉะนั้นการดึงเอาอำนาจอธิปไตยของเราไปรวมไว้ที่อียู ย่อมไม่ต่างอะไรกับการล่าอาณานิคมนั่นเอง”
“เราพยายามจะปฏิรูปสหภาพยุโรป ให้เดินไปในทิศทางที่ถูกต้อง นั่นก็คือการสร้างประชาคมที่มีความร่วมมือกันด้านเศรษฐกิจ แต่อียูพยายามสร้างสหภาพทางการเมือง จึงไม่เหมือนกับเจตจำนงเดิมของการตั้งสหภาพขึ้นมา”
ประธานรัฐสภา ลาซโล โคเวร์ บอกด้วยว่า ฮังการีไม่เคยสนับสนุนอาวุธให้ยูเครน เพราะไม่อยากให้มีสงคราม เนื่องจากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นกระทบกับฮังการีในหลากหลายมิติ ทำให้เศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก ฮังการีเองก็ได้รับผลกระทบ ส่งออกได้น้อยลง ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจตกต่ำทุกตัว แม้แต่ปริมาณการค้าระหว่างไทยกับฮังการี ก็พลอยลดลงด้วยเช่นกัน
นายลาซโล โคเวร์ ประธานรัฐสภาฮังการี
ด้วยเหตุนี้ ฮังการีจึงเดินหน้าเปิดการค้าการลงทุนกับประเทศในภูมิภาคอื่นๆ และให้ความสำคัญกับเอเชีย รวมทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะไทย เพราะฮังการีไม่อยากถูกโดดเดี่ยว จึงมองหาโอกาสเพื่อสร้างความร่วมมือและเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจกับทุกประเทศ เช่น จีน ขณะที่หลายๆ ประเทศในเอเชียก็เป็นประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่
นักวิจัยกางยุทธศาสตร์ภายใต้ “ภูมิรัฐศาสตร์เดือด”
ที่สถาบันดานูบ ซึ่งคณะของประธานวันนอร์ และกรรมการสภาสถาบันพระปกเกล้า ได้ไปพบปะและศึกษาดูงาน ได้อธิบายยุทธศาสตร์การสร้างหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจใหม่ๆ ของฮังการีด้วยเช่นกัน
สถาบันดานูบ ทำงานวิจัยด้าน “ภูมิรัฐศาสตร์” ให้กับรัฐบาลและรัฐสภาฮังการี โดยยุทธศาสตร์ที่เสนอก็คือ เชื่อมโยงความร่วมมือกับประเทศในยุโรป โดยเฉพาะยุโรปตะวันออก และประเทศที่มีศักยภาพในภูมิภาคอื่น เช่น จีน ญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน สิงคโปร์ ตุรกี อาเซอร์ไบจาน คาซัคสถาน เติร์กเมนิสถาน สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์
นักวิจัยจากสถาบันดานูบ บรรยายตอนหนึ่งว่า แนวนโยบายของฮังการี คือ การเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ความร่วมมือระหว่างประเทศ เน้นการสร้างสัมพันธ์เชิงปฏิบัติ มุ่งผลประโยชน์ของประเทศด้านเศรษฐกิจเป็นหลัก เพื่อสร้างความแข็งแกร่งระหว่างฮังการีกับประเทศคู่ค้า และทำให้ฮังการีมีที่ยืนที่เข้มแข็งในเวทีเศรษฐกิจโลก
“ปัจจุบันมีบริษัทจีน ญี่ปุ่น เกาหลี มาลงทุนโครงการขนาดใหญ่ในฮังการี เช่น บริษัทรถยนต์ BYD มีการจ้างงานชาวฮังกาเรียนรวมๆ แล้วหลายหมื่นคน ทำให้ฮังการีเป็นศูนย์กลาง หรือ 'ฮับ' ของยุโรปที่มีบริษัทจากเอเชียเข้ามาตั้งและลงทุน ทั้งยังมีความร่วมมือด้านศึกษาวิจัย ตลอดจนนวัตกรรมอีกด้วย”
นักวิจัยแห่งสถาบันดานูบ สรุปว่า “เราเป็นเหมือนแกะดำของยุโรป“
แต่อำนาจอธิปไตยของฮังการี กับแนวทางบางอย่างของอียูไม่สอดคล้องกัน แม้การเป็นส่วนหนึ่งของอียูจะเท่ากับยอมสละอำนาจอธิปไตยบางส่วนไปแล้ว แต่อำนาจอธิปไตยที่สำคัญก็ยังต้องรักษาเอาไว้ ฮังการีต้องมีอำนาจตัดสินใจเองในเรื่องที่กระทบกับชาวฮังกาเรียนโดยตรง อย่างเรื่องสงคราม หรือผู้อพยพ ไม่ใช่ปล่อยให้อียูมาชี้นำ
ปธ.กลุ่มมิตรภาพฮังการี-ไทย ประสานเสียงกลางงานเลี้ยง
ความสำเร็จของฮังการี แม้จะเป็นประเทศเล็ก แต่กล้าแข็งขึ้นกับสหภาพยุโรป มาจากความเป็นเอกภาพของทุกภาคส่วนในประเทศ โดยทุกคนคิดและมีเจตจำนงแบบเดียวกัน
อย่างในงานเลี้ยงต้อนรับประธานวันนอร์และคณะ เมื่อวันจันทร์ที่ 3 พฤศจิกายน ซึ่งมี “กลุ่มมิตรภาพฮังการี-ไทย” เป็นเจ้าภาพ นำโดย นายอิสวาน ซิมิโก พร้อมสมาชิกรัฐสภาที่สมัครใจเข้ามาเป็นกลุ่มมิตรภาพ เชื่อมสัมพันธ์สมาชิกรัฐสภาของทั้งสองประเทศ ก็ยังมีการพูดถึงประเด็นที่ฮังการีขัดแย้งกับอียู แม้จะอยู่ในบรรยากาศงานเลี้ยงที่ครื้นเครงก็ตาม
โดย นายอิสวาน ประธานกลุ่มมิตรภาพฯ ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมของฮังการี บอกทีเล่นทีจริงว่า รู้สึกประทับใจประเทศไทยที่เป็น “สยามเมืองยิ้ม” เพราะตนเป็นคนยิ้มง่าย จึงได้รับเลือกเป็นประธานกลุ่มมิตรภาพฮังการี-ไทย ยกเว้นช่วงที่เป็นรัฐมนตรีกลาโหมเท่านั้นที่ไม่ค่อยยิ้ม โดยเฉพาะตอนประชุมนาโต ต้องปั้นหน้าตลอดเวลา
พึ่งตัวเอง - ไม่ทิ้งภาคเกษตรกรรม - พร้อมจับมือไทย
ขณะที่ นายอิสวาน ยาคอบ รองประธานรัฐสภาฮังการี ซึ่งจัดงานเลี้ยงอาหารค่ำให้กับคณะของประธานรัฐสภาไทย เมื่อวันอังคารที่ 4 พฤศจิกายน ก็ได้พาอธิการบดีมหาวิทยาลัยด้านการเกษตรที่ใหญ่ที่สุดในฮังการี และในยุโรป มาร่วมโต๊ะอาหารและหารือเกี่ยวกับความร่วมมือด้านพัฒนาการเกษตรกับไทย เพราะไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม เนื่องจากฮังการีมีแนวคิดพึ่งพาตนเอง เพิ่มผลผลิตทางการเกษตร และเปิดการค้ากับนานาประเทศ เพื่อยืนบนขาตัวเองให้ได้
โดยรองประธานรัฐสภา อิสวาน ยาคอบ เคยไปเยือนรัฐสภาไทยเมื่อปี 2563 ยุคที่ นายชวน หลีกภัย เป็นประธานรัฐสภา และยังได้เดินทางไปจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการทำเกษตรกรรม ตลอดจนการท่องเที่ยวของไทยด้วย
บทเรียนสำคัญของการเดินทางเยือนฮังการี ที่คณะของประธานรัฐสภา และกรรมการสภาสถาบันพระปกเกล้า เห็นตรงกันก็คือ การกำหนดยุทธศาสตร์ชาติที่ชัดเจน รอบคอบ ยึดถือและปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ รวมถึงรักษาวัฒนธรรม ตลอดจนคุณค่าของชาติเอาไว้อย่างแข็งแกร่ง โดยทุกภาคส่วนของประเทศมีเอกภาพ ภายใต้การเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่มีเสถียรภาพและมั่นคงแข็งแรง
มีคลิป
