
3 พฤศจิกายน 2568 ที่อาคารรัฐสภา นางสาวนันทนา นันทวโรภาส สมาชิกวุฒิสภา(สว.) แถลงข่าวพร้อมยื่นหนังสือถึงนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา โดยร้องเรียนขอให้ตรวจสอบการใช้อำนาจที่ขาดธรรมาภิบาลของวุฒิสภา(สว.) ว่า วันนี้ได้ทำหนังสือถึงประธานรัฐสภา เรื่องการใช้อำนาจที่ขาดธรรมาภิบาลของวุฒิสภา ซึ่งจะนำไปสู่ความล้มเหลวของฝ่ายนิติบัญญัติ
โดยในหนังสือร้องเรียนระบุว่า สืบเนื่องจากมีผู้ร้องมายังคณะกรรมการจริยธรรมวุฒิสภา ว่า ตนทำผิดจริยธรรมด้วยการดูหมิ่นด้อยค่าคนขายหมู จากนั้นคณะกรรมการจริยธรรมได้ดำเนินการสอบสวน และนำรายงานเรื่องดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุมวุฒิสภา และได้รายงานผลการตรวจสอบมาตรฐานทางจริยธรรมตามข้อบังคับ ซึ่งคณะกรรมการจะทำพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นการกระทำที่ขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ จึงให้ที่ประชุมลงมติว่าตนฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรงหรือไม่ ซึ่งที่ประชุมวุฒิสภาลงมติเสียงข้างมาก 130 เสียง เห็นว่าตนฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างร้ายแรง และจะส่งเรื่องนี้ไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ป.ป.ช.) ต่อไป
สว.นันทนา กล่าวว่า การกระทำดังกล่าวของวุฒิสภาถือเป็นการอคติ**กลั่นแกล้งเนื่องจากที่ผ่านมาตนได้ออกมาเปิดโปงเรื่องฮั้ว สว. และเรียกร้องให้ สว. ที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหาหยุดปฏิบัติหน้าที่ในการให้ความเห็นชอบผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ ซึ่งการกระทำหน้าที่ดังกล่าวของตนเป็นไปอย่างเปิดเผยเพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญ
แต่อาจเป็นการขัดต่อผลประโยชน์ของ สว. เสียงข้างมาก เห็นได้จากการที่กลุ่ม สว. เสียงข้างมากได้พยายามขัดขวางการอภิปรายในสภาของตนแทบทุกครั้ง การที่วุฒิสภามีมติให้การวิพากษ์วิจารณ์การคัดเลือกบุคคลเข้าเป็นกรรมาธิการแบบผิดฝาผิดตัว เป็นความผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง สะท้อนถึงการใช้ดุลพินิจที่ขาดความชอบธรรมในการตัดสิน
“การพิจารณาโทษที่รุนแรงไม่ได้สัดส่วนกับการกระทำ ถือเป็นการทำลายล้างทางการเมือง สร้างบรรยากาศแห่งความกลัว ทำให้ สว.ขาดอิสระในการแสดงความคิดเห็น มากไปกว่านั้น คณะกรรมการจริยธรรมวุฒิสภาได้รับแจ้งข้อกล่าวหาคดีฮั้ว สว. เป็นกรรมการอยู่ถึง 15 คน ถือเป็นคู่ขัดแย้งโดยตรงกับผู้ถูกกล่าวหา จึงไม่ควรมีสิทธิเป็นกรรมการจริยธรรมพิจารณาตัดสินกรณีนี้ เพราะถือเป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์อย่างรุนแรง การกระทำของคณะกรรมการจริยธรรมและที่ประชุมวุฒิสภาถือเป็นการทำลายนิติรัฐของวุฒิสภาลง “ สว.นันทนา กล่าว
สว.นันทนา ยังกล่าวว่า วุฒิสภาใช้เสียงข้างมากกำจัดฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง ถือเป็นอันตรายต่อระบบรัฐสภาประชาธิปไตยและหลักนิติธรรม ในฐานะที่ประธานรัฐสภาเป็นประมุขฝ่ายนิติบัญญัติย่อมต้องพิทักษ์รักษาให้รัฐสภาแห่งนี้ปฏิบัติหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติอย่างมีธรรมาภิบาลโปร่งใส ซื่อสัตย์เป็นกลาง จึงขอให้ประธานรัฐสภาตั้งกรรมการขึ้นมาตรวจสอบการใช้อำนาจที่ขาดธรรมาภิบาลของวุฒิสภาอย่างเร่งด่วน เพื่อไม่ให้ภาพลักษณ์ของวุฒิสภาถดถอย กลายเป็นสภาของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ที่ใช้อำนาจล้นเกิน ทำลายผู้เห็นต่างอย่างชอบธรรม ที่จะนำไปสู่ความล้มเหลวของฝ่ายนิติบัญญัติ
ด้าน นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ สว. กล่าวว่า ในช่วงปิดสมัยประชุม ตนได้ลงพื้นที่เพื่อไปสอบถามความคิดเห็นของประชาชนซึ่งระบุได้เลยว่า 99.99 เปอร์เซ็นต์ ไม่เห็นด้วยกับมติดังกล่าว จึงขอถามไปยังผู้ที่ลงมติทั้ง 130 ท่าน ท่านยังคงสบายใจได้อยู่อีกหรือ ที่ประชาชนไม่เห็นด้วย ซึ่งหากองค์กรใดมีท่าทีหรือมติที่สวนทางกับประชาชน องค์กรนั้นจะอยู่อย่างสง่างามได้อย่างไร ฉะนั้น วันนี้เมื่อไม่มีที่พึ่ง น.ส.นันทนา จึงหวังพึ่งประธานรัฐสภา
นพ.เปรมศักดิ์ กล่าวต่อว่า ตนมองว่าประธานรัฐสภาในเวลานี้จะเป็นผู้ที่สามารถให้หลักการและเป็นที่พึ่ง และการตรวจสอบที่โปร่งใสได้ จะเห็นได้ว่าขนาด สส.แม้มีเพียงเสียงเดียว ก็ยังมีที่ยืนในกรรมาธิการ ยังสามารถทำงานได้ แต่ สว.เสียงข้างน้อย ไม่อาจจะสะท้อนใดๆ เลย ถูกปิดปากเช่นนี้ สิ่งที่อยู่ภายใต้คำว่าสภาสูงนั้น สูงจริงหรือไม่ และตามหลักที่ท่านเป็นประมุขของฝ่ายนิติบัญญัติ ขอให้ท่านกลับมาปัดกวาดบ้านหลังนี้ รวมถึงให้ความเป็นธรรมด้วย
“ผมมองว่าเรื่องนี้เป็นตราบาปของรัฐสภา หากประธานรัฐสภาไม่ปัดกวาด ตราบาปแบบนี้จะยังคงอยู่ตลอดไป และขอฝากถึงประธานวุฒิสภา อย่าฟังแต่เสียงคนนั้นคนนี้ ขอให้ฟังด้วยความเป็นธรรม รวมถึงฟังเสียงสมาชิกวุฒิสภาข้างน้อยด้วย ที่อาจจะมีมุมมองไม่เหมือนสมาชิกวุฒิสภาเสียงข้างมาก แต่ก็ทำโดยความเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน วันนี้ยิ่งมีข่าวว่า 17 สว. ถูกขึ้นบัญชีดำ และจะถูกเช็กบิลเป็นรายๆ ไป อยากให้สังคมและประชาชนช่วยปกป้องเสียงข้างน้อยในสภาด้วย ให้มีที่ยืนเพื่อพิทักษ์ผลประโยชน์ให้ประชาชน” นพ.เปรมศักดิ์ กล่าว
นพ.เปรมศักดิ์ กล่าวต่อว่า ฉะนั้น หากประธานรัฐสภาปล่อยให้เรื่องที่เกิดขึ้นในวุฒิสภาเป็นแบบนี้ไม่มีผู้ใหญ่ลงมาซักถาม องค์กรนี้ก็จะเป็นสนิมเหล็กเกิดแต่เนื้อในตน เมื่อวันหนึ่งสนิมกัดกินเหล็ก เหล็กก็อยู่ไม่ได้ นั่นก็คือรัฐสภาไม่สามารถเป็นที่พึ่งหวังของประชาชนได้อีกต่อไป
เมื่อถามว่า มีคนออกมาเรียกร้องให้ สว.นันทนา ออกมาแสดงความรับผิดชอบที่ดูหมิ่นว่า สว.อาชีพขายหมู สว.นันทนา กล่าวว่า ยืนยันมาตั้งแต่ต้นว่าไม่ได้เป็นการดูหมิ่นหรือด้อยค่า แต่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ระบบในการคัดเลือก สว. ที่เข้าสู่กรรมาธิการให้ถูกฝาถูกตัว ใช้คนให้เหมาะสมกับงาน เพื่อให้กรรมาธิการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ใช้ความรู้ความสามารถให้ตรง
ยกตัวอย่าง ให้เห็นว่า ถ้าคนที่มีความรู้ด้านหนึ่งแล้วไปเข้ากรรมาธิการที่ไม่ตรงกับความรู้ความสามารถประชาชนเสียประโยชน์แน่นอน จึงได้ยกตัวอย่างเรื่องคนขายหมูขึ้นมา หากไปอยู่กรรมาธิการพาณิชย์หรือการเกษตร จะตรงกับความรู้ความสามารถและผลักดันปัญหาของประชาชนได้มากกว่านี้หรือไม่ ตนจึงประท้วงระบบ และเป็นการเรียกตามกลุ่มอาชีพไม่ได้มีเจตนาด้อยค่า