ขย่ม “นักการเมือง ช.” เกมอดีต ตร.ใหญ่สางแค้น โยงดีลย้ายพรรค

1 พฤศจิกายน 2568 การออกมาเปิดโปง “นักการเมือง ช.” ที่ขับเคลื่อนโดยอดีตตำรวจใหญ่ และอินฟลูฯสายอาชญากรรม ถูกตั้งข้อสังเกตว่ามีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรหรือไม่?!

เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า “นักการเมือง ช.” แม้จะเคยถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับ “ธุรกิจสีเทา” แต่ไม่ใช่ “ตัวใหญ่” หรือ “ระดับบงการ” ตามที่ฝ่ายค้านอย่างพรรคประชาชน และผู้คนในสังคมเรียกร้องให้รัฐบาลกระชากหน้ากาก 

โดยเฉพาะพวกที่โยง “ขบวนการสแกมเมอร์” และมีเครือข่ายธุรกิจข้ามชาติ นำเงินสีเทาไปลงทุนในเมกะโปรเจค หรือกองทุนระดับชาติ เพื่อยึดประเทศ หรือยึดกุมกลไกพลังงาน ซึ่งกลายเป็นวงจรที่สร้างความร่ำรวยอย่างไม่จบสิ้น แถมฟอกเงินเทาให้กลายเป็นเงินถูกกฎหมาย ลงทุนในกิจการสัมปทานรัฐอีกต่างหาก 

การออกมาเปิดประเด็น “นักการเมือง ช.” จึงเท่ากับเป็นการเบี่ยงเบนประเด็น ขยายเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ เพื่อ “กลบกระแส” หรือ “ตัดตอน” ไม่ให้มีการฟาดงวงฟาดงาไปที่ “เป้าหมายใหญ่ตัวจริง” หรือเปล่า ?

โดยเฉพาะการกล่าวอ้างว่า “นักการเมือง ช.” รอดคดีพนันออนไลน์ เนื่องจากอัยการสั่งไม่ฟ้อง มีต้นเหตุมาจาก “ตำรวจชุดจับกุม” กลับคำให้การเพื่อช่วยเหลือ 

เรื่องนี้เมื่อสืบไปสืบมา ทำท่าจะกลายเป็นการชำระแค้นส่วนตัว ระหว่างอดีตตำรวจใหญ่ กับคู่อริสีกากีด้วยกัน 

ข้อสังเกตที่น่าสนใจคือ 

1.สำนวนการสอบสวนเพิ่มเติมของพนักงานสอบสวน สภ.เมืองสงขลา ในคดีจับ “นักการเมือง ช.” ที่อ้างว่ามีการสอบปากคำชุดจับกุม แล้วมีการ “กลับคำให้การ” นั้น 

• เอกสารที่บันทึกคำให้การ คือ 24 มิ.ย.65 ในวันดังกล่าวไม่ได้มีการสอบเพิ่มเติมกันจริงๆ 
• ไม่มีการสอบสวนที่ สภ.เมืองสงขลา แต่เป็นการสอบที่กรุงเทพฯ ในวันที่ 30 มิ.ย.65 
• เรื่องนี้มีหลักฐานแชทไลน์นัดหมาย และตั๋วเครื่องบินที่ใช้ในการเดินทางยืนยัน 

คำถามคือ ความผิดพลาดนี้ เป็นความจงใจทำให้สำนวนกำกวม หรือ “วางงาน” ให้คดีถูกตั้งข้อสงสัย และสุดท้ายสั่งไม่ฟ้องหรือไม่ 

2.สำนวนการสอบสวนเพิ่มเติม ไม่มีส่วนหนึ่งส่วนใดที่มีข้อความ “กลับคำให้การเดิม” ซึ่งโดยปกติ ในสำนวนการสอบสวน หากมีการให้การเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม จะต้องมีการพิมพ์ข้อความเน้นไว้ในตอนท้ายของสำนวนการสอบสวนว่า ผู้ให้ปากคำยืนยันตามคำให้การใหม่ 

“แต่สำนวนการสอบสวนเพิ่มเติม ไม่มีการพิมพ์ข้อความนี้”

3.สำนวนการสอบสวนเพิ่มเติม มีความยาวเพียงครึ่งหน้ากระดาษ A4 จะลบล้างสำนวนที่นำไปสู่การสืบสวนจับกุม และออกหมายจับ ความยาวหลายร้อยหน้าได้อย่างไร 

4.ผู้ที่ปูดเรื่อง “ชุดจับกุมกลับคำให้การ” คืบสารวัตรสืบสวนรายหนึ่งในพื้นที่สงขลา เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษชุดจับกุมเอาไว้ เมื่อปี 2567 ทั้งๆ ที่ไม่มีต้นเรื่อง ไม่มีต้นสายปลายเหตุใดๆ 

ตรวจสอบเบื้องหลัง พบว่า สารวัตรสืบสวนรายนี้ เป็นลูกน้องของ “ผู้กำกับฯ” รายหนึ่ง ชื่อ “ดุสิต” 

ผู้กำกับรายนี้ จู่ๆ ก็เดินทางไปที่ สน.เตาปูน แจ้งความดำเนินคดีกับ พ.ต.ท.คริสฐ์ ปริยะเกตุ ลูกน้องคนสนิทของอดีตตำรวจใหญ่ ว่าเกี่ยวข้องกับเว็บพนันออนไลน์ BNK ที่ตำรวจ สน.เตาปูน กำลังทำคดีอยู่ ทั้งๆ ที่เจ้าตัวปฏิเสธ จึงเชื่อได้ว่า เป็นการแจ้งความเพื่อให้เป็นคดีการกระทำผิดของเจ้าหน้าที่รัฐ ต้องส่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตามความต้องการของอดีตตำรวจใหญ่ เพราะไม่ต้องการให้ตำรวจด้วยกันทำคดี หากยังจำกันได้ ช่วงนั้นเป็นข่าวดังมาก

“ผู้กำกับฯ” รายนี้ เป็นลูกน้องคนสนิทของอดีตตำรวจใหญ่ ที่ต้องการดึงคดีพนันออนไลน์ที่โยงถึงตัวเองเข้าสู่กระบวนการ ป.ป.ช. เพราะเป็นที่รู้กันดีว่า ตนเอง “มีอะไรอยู่ใน ป.ป.ช.” จึงอยากส่งสำนวนคดีไปถึงมือ ป.ป.ช. ทั้งๆ ที่ไม่มีใครอยากให้คดีเข้าไปในองค์กรอิสระองค์กรนี้ 

5.พลตำรวจโทไตรรงค์ ผิวพรรณ รองจเรตำรวจแห่งชาติ เคยดำรงตำแหน่งหัวหน้าชุดปฏิบัติการ PCT เคยนำกำลังเข้าตรวจค้นจับกุมบ้านอดีตตำรวจใหญ่ เมื่อปลายปี 2566 จนเป็นข่าวดังแห่งปี 

เรื่องนี้จึงมองได้ว่าเป็นการแก้แค้น เอาคืน หรือดิสเครดิตกันหรือไม่ 

6.นักการเมือง ช. เป็นคนสนิทของ สส.อีกคนหนึ่ง ก่อนจะมาเป็น สส.เอง ซึ่ง สส.ลูกพี่ของนักการเมือง ช. ตอนเลือกตั้งปี 66 ย้ายไปสังกัดรวมไทยสร้างชาติ แต่ นักการเมือง ช.ไม่ได้ไป กลับย้ายไปสังกัดอีกพรรคหนึ่ง และตาม “นายใหม่” เติมเสียงให้กับพรรคใหม่อีกพรรคในปัจจุบัน 

เรื่องนี้จึงน่าคิดว่ามีประเด็นที่เกี่ยวกับเงื่อนไขต่อรองทางการเมืองอยู่ด้วยหรือไม่ ทำให้หลายๆ เรื่อง ค่อนข้างมีพิรุธน่าสงสัย