svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

"ดร.ณัฏฐ์" ผ่า ปม. "สว.นันทนา" มติวุฒิสภา ส่ง ป.ป.ช.เชือดจริยธรรมร้ายแรง

"ดร.ณัฏฐ์" ผ่า ปม. "สว.นันทนา" มติวุฒิสภา ส่ง "ป.ป.ช." ฟันจริยธรรมร้ายแรง ผลพวงรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง เจตนาในคดีอาญากับจริยธรรม คนละส่วนกัน  เผยกระบวนการต่อสู้คดี ดูท่าจะเหนื่อย

29 ต.ค. 68 สืบเนื่องจาก มติวุฒิสภาเสียงข้างมากวินิจฉัยชี้ขาดว่า นางนันทนา นันทวโรภาส สมาชิกวุฒิสภา 
มีพฤติกรรมฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง และส่งให้ ป.ป.ช. เพื่อพิจารณา ในประเด็นพูดจาถากถางเพื่อนสมาชิกวุฒิสภาในประเด็นอาชีพเดิมก่อนมาดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภานั้น ทำให้เกิดประเด็นร้อนแรงทางการเมืองภายในสภาสูงนั้น

ล่าสุด ดร.ณัฏฐ์ หรือ ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม นักกฎหมายมหาชน ได้ให้ความเห็นเพื่อประโยชน์สาธารณะและกล่าวว่า มาตรฐานจริยธรรมได้บัญญัติไว้ใน รธน. มาตรา 219 วรรคสอง และได้นำไปกำหนดเป็นคุณสมบัติรัฐมนตรี ตาม รธน. มาตรา 160 (5) โดยมาตรฐานทางจริยธรรม ได้กำหนดครอบคลุมถึงองค์กรอิสระ ศาลรัฐธรรมนูญ รวมถึง สส. หรือ สว. และ คณะรัฐมนตรี โดยปรากฏตามมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินและหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ.2561 กรณีของ สว.นันทนา นันทวโรภาส ถือเป็น "คดีแรกในประวัติศาสตร์" ที่วุฒิสภาใช้เสียงข้างมากรับรองผลรายงานตรวจสอบจริยธรรม 

และอีกประเด็นหนึ่ง เป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรม โดยใช้มติเสียง 3 ใน 5 ของ สว. เท่าที่มีอยู่ของสมาชิกวุฒิสภา โดยทั้งสองประเด็นมีมติเห็นชอบ ประธานวุฒิสภาต้องส่งเรื่องให้ ป.ป.ช. ไต่สวนวินิจฉัยชี้มูลต่อไป 

เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะรัฐธรรมนูญ มาตรา 235 วรรคหนึ่ง (1) กรณีฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง เป็นอำนาจของ ปปช.และอยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลฎีกา ตาม พรป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2560

แต่มติของสมาชิกวุฒิสภา เป็นเพียงกระบวนการยุติธรรมขั้นต้น ยังไม่เป็นที่สุด อำนาจอยู่ที่ชั้น ป.ป.ช. ว่ากระบวนการกลั่นกรองตามอำนาจหน้าที่ ป.ป.ช. คดีมีมูลหรือไม่ ตาม พ.ร.ป. ป.ป.ช.ประกอบ ระเบียบคณะกรรมการ ป.ป.ช.ว่าด้วยการตรวจสอบและไต่สวน พ.ศ 2561 แต่คดีจะช้าหรือเร็วอยู่ที่การไต่สวนของ ป.ป.ช. เป็นหลัก

พูดภาษาชาวบ้าน คือ มติวุฒิสภายังไม่เป็นที่สุด จะฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรงหรือไม่ อำนาจอยู่ที่ ป.ป.ช. จะวินิจฉัยชี้ขาดโดยกฎหมาย ป.ป.ช. ใช้ระบบไต่สวนและฟังความสองฝ่ายเป็นธรรมแก่คู่ความ สว.นันทนา ยังมีโอกาสนำพยานหลักฐานไปแสดงและชี้แจงในชั้น ป.ป.ช. ได้ 

นันทนา นันทวโรภาส  สว.สายสื่อสารมวลชน
 

ส่วนที่ สว.นันทนา ออกมาแถลงพาดพิงถึงคำเบิกความของผู้เสียหายที่เป็น สว. ในคดีอาญา ในการตอบคำถามค้านของทนายตนเองในศาลคดีอาญาฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ที่ถามค้านว่า “อาชีพขายหมู เป็นอาชีพที่ภูมิใจใช่หรือไม่” พยานตอบว่า “ใช่”  ถือเป็นคนละส่วนระหว่างคดีอาญากับคดีจริยธรรม แยกต่างหากจากกัน แม้หากว่าในคดีอาญาผลคดีจะออกบวกหรือลบก็ตาม ไม่มีผลต่อมติของวุฒิสภาและไม่มีผลผูกพันให้ ป.ป.ช. จะต้องถือตาม เพราะไม่ใช่คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ตาม ป.วิอาญา มาตรา 46 และมิใช่คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่เสร็จเด็ดขาดและผูกพันทุกองค์กร ตาม รธน. มาตรา 211 วรรคสี่ 


พูดภาษาชาวบ้าน คือ คดีจริยธรรมกับคดีอาญา คนละส่วนกัน ข้อแก้ตัวที่ไปกล่าวหาว่า สว. ที่เข้ามานั้น กมธ.พัฒนาการเมืองฯ แทนตน มีอาชีพขายหมู เป็นการเหยียดอาชีพหรือไม่ ต้องไปแก้ตัวที่ ป.ป.ช. และศาลฎีกา

เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพระคำว่า “จริยธรรม” ตาม รธน. และข้อกำหนดจริยธรรมปี 2561 มีความหมายในลักษณะกว้างกว่า คำว่า "เจตนา” ในคดีอาญา และคำว่า “จงใจ” ในคดีแพ่ง และไม่อยู่ภายใต้ขอบเขตราชอาณาจักรไทย 

ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม นักกฎหมายมหาชน

ทั้ง สว.จะต้องอยู่ภายใต้ข้อบังคับว่าด้วยประมวลจริยธรรมของวุฒิสภาและกรรมาธิการ พ.ศ.2563 ประกอบมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินและหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ.2561

ผลคดี หาก ป.ป.ช. วินิจฉัยชี้มูลว่า สว.นันทนา กระทำฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานอย่างร้ายแรงและหากศาลฎีกาเชื่อว่ากระทำฝ่าฝืนจริง ย่อมถูกเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งไม่เกิน 10 ปี แต่โดยผล รธน. มาตรา 235 วรรคสี่ ฉบับปราบโกงย่อมถูก “ประหารชีวิตทางการเมือง” ถูกตัดสิทธิ์ในการสมัคร สส. ผู้บริหารท้องถิ่นหรือสมาชิกท้องถิ่น หรือดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดๆตลอดชีพ

เป็นผลพวงมาจากรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงและเป็นตัวอย่างของสมาชิกรัฐสภา ไม่ว่า สส. หรือ สว. หรือคณะรัฐมนตรี จะต้องระมัดระวังในการพูดจาดูถูกย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ต่อสมาชิกรัฐสภาด้วยกัน แม้จะออกแบบให้ สว.มาจากกลุ่ม 20 ตัวอย่างอาชีพก็ตาม

แต่จริยธรรมร้ายแรงหรือไม่ อยู่ที่ “การกระทำของตน” ไม่เกี่ยวกับ “สว.เสียงข้างมาก”หรือ “สว.เสียงข้างน้อย” จะต้องวางตนเป็นกลางสมกับเป็นตัวแทนของปวงชนชาวไทย