
นายประเสริฐ จันทรรวงทอง อดีตรองนายกรัฐมนตรีและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมด้วย สส.และแกนนำ พรรคเพื่อไทย อ่านแถลงการณ์พรรคเพื่อไทย เรื่องข้อเสนอมาตรการเชิงรุกในการร่วมปราบปรามสแกมเมอร์ ขบวนการฟอกเงิน และอาชญากรรมข้ามชาติ โดยระบุว่า ปัญหาสแกมเมอร์ อาชญากรรมข้ามชาติ เคยได้รับการแก้ไขจนเห็นผลเป็นรูปธรรมในรัฐบาลของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และกลับมาเป็นปัญหาสำหรับประชาชน และประเด็นใหญ่ระดับโลกอีกครั้ง สืบเนื่องจากกรณีที่มีการกดดันจากสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และเกาหลีใต้ ในเดินหน้าปราบปราม ติดตามขบวนการสแกมเมอร์ในกัมพูชาอย่างจริงจัง ดังนั้น พรรคเพื่อไทย จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลเดินหน้ามาตรการเชิงรุก ยกระดับมาตรการปราบปรามขบวนการกล่าวเพื่อไม่ให้ประเทศไทยส่วนหนึ่งของอาชญากรรม ดังนี้
1. ดำเนินมาตรการ 3 ตัด คือ ตัดไฟ ตัดอินเทอร์เน็ต ตัดการขนส่งน้ำมัน เพื่อสกัด Scam Center ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา โดยอาจพิจารณายกระดับจากโมเดลความร่วมมือระหว่างประเทศไทย-จีน-เมียนมาที่สำเร็จมาแล้วในสมัยรัฐบาลนางสาวแพทองธาร
2. กลับมาเข้มงวดเรื่องการปิดเส้นทางธรรมชาติ เพื่อป้องกันการหลอกลวงเอาคนไทยข้ามไปและการลักลอบหนีกลับเข้ามาในประเทศอย่างผิดกฎหมาย
3. เร่งสานต่องานจากรัฐบาลชุดที่ผ่านมา และเจรจากับประเทศเพื่อนบ้านและประเทศที่เกี่ยวข้องอื่นเพื่อ ตั้งศูนย์บริหารเหตุการณ์แก๊งคอลเซ็นเตอร์และค้ามนุษย์นานาชาติ (ศกค.) ระดมความร่วมมือจากนานาประเทศ ปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ข้ามชาติอย่างเป็นรูปธรรม แก้ไขขั้นเด็ดขาด ช่วยเหลือเหยื่อกลับบ้าน
4. เจรจากดดันเพื่อให้กัมพูชายอมรับเงื่อนไขข้อที่ 3 คือ การร่วมปราบปรามสแกมเมอร์ ซึ่งอยู่ในเงื่อนไข 4 ข้อเดิมตามมติสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) สมัยรัฐบาลนางสาวแพทองธาร ที่ได้เคยเสนอไว้ ไปผลักดันผ่านการลงนาม Peace Agreement ในการประชุม ASEAN SUMMIT ที่จะถึงในวันที่ 26 ตุลาคม 2568 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์
5. ให้รัฐบาลกลับมาจริงจังเรื่องของการระงับบัญชีม้า และซิมที่ผูกกับโมบายแบงก์กิ้ง ที่ได้รับการพิสูจน์ยืนยันว่าเกี่ยวข้อง ตลอดจนการปราบปรามเว็บพนันและเว็บหลอกลวงผิดกฎหมายเพื่อป้องกันมิจฉาชีพออนไลน์ในประเทศ โดยในรัฐบาลชุดที่แล้วก็ได้ใช้มาตรการนี้ในการระงับบัญชีม้ากว่า 500,000 บัญชี และป้องกันการสูญเสียได้กว่า 20,000 ล้านบาท
6. ควรจัดให้มีการประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์ ตามพระราชดำหนดมาตราการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 และเร่งออกกฎหมายลำดับรอง เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชกำหนดป้องกันและปรามอาชญากรรมด้านไซเบอร์ และพระราชกำหนดสินทรัพย์ดิจิทัล
7. ให้รัฐบาลใช้ศูนย์ AOC 1441 ที่ได้ตั้งขึ้นในรัฐบาลชุดที่แล้ว เพื่อเป็น One Stop Service ในการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการหลอกลวงออนไลน์แบบเร่งด่วน เพื่อให้เรื่องร้องทุกข์ เรื่องระงับธุรกรรมทางการเงิน และเรื่องการประสานงานกับธนาคารและตำรวจไซเบอร์กลับมามีประสิทธิภาพอีกครั้ง
นายประเสริฐ ยังระบุว่า พรรคเพื่อไทยขอเรียกร้อง ให้รัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เอาผลประโยชน์ของประเทศชาติ และพี่น้องประชาชนเป็นตัวตั้งในการแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา แบบหวังผลจริง ด้วยการเดินหน้ามาตรการปราบปรามสแกมเมอร์คอลเซ็นเตอร์อย่างจริงจัง ให้เป็นยุทธศาสตร์หลักในการกดดันกัมพูชาเพื่อแก้ไขปัญหาชายแดนอย่างถูกต้อง ไม่ได้เพียงแต่ทํางานตามกระแสเพียงเพื่อหวังคะแนนนิยม และผลทางการเมืองเท่านั้น แต่เพื่อเป็นการเสริมมาตรการตามที่รัฐบาล ได้ตั้งคณะกรรมการเมื่อวานนี้ (15 ต.ค.) ซึ่งเป็นบริหารนโยบายนั้น แต่ยังจำเป็นต้องมีคณะกรรมการขับเคลื่อน ตามพระราชกำหนดที่เกี่ยวข้อง
ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตรัฐบาลยังนิ่งเฉยต่อการปราบปรามคอลเซ็นเตอร์นั้น นายประเสริฐ เห็นว่า รัฐบาลควรมีความชัดเจน และนายกรัฐมนตรี จะต้องรับผิดชอบเรื่องดังกล่าว ไม่สามารถโยนความรับผิดชอบได้ และจะต้องชี้แจงข้อเท็จจริงให้ประชาชนได้อย่างถูกต้อง และตรงประเด็น ซึ่งที่ผ่านมา ตนเห็นว่า นายกรัฐมนตรี ยังคงพยายามบ่ายเบี่ยงในการชี้แจง
ส่วนกรณีที่ต่างชาติพยายามกดดันกัมพูชา แต่ไทยยังคงนิ่งนั้น พรรคเพื่อไทยจะดำเนินการต่อรัฐบาลอย่างไรนั้น นายประเสริฐ ย้ำว่า เป็นหนึ่งในข้อเสนอพรรคเพื่อไทย เพราะเป็นโอกาสที่นานาชาติดันกัมพูชา และเป็นโอกาสรัฐบาลไทยในการประกาศจุดยืน ทำงานร่วมกับนานาชาติ จึงอยากให้รัฐบาลเร่งดำเนินการโดยเร่งด่วน
ส่วนการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในสมัยรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่ผ่านมาเห็นผลมากน้อยเพียงใดนั้น นายประเสริฐ ยืนยันว่า ได้ผลแน่นอน เนื่องจากมีตัวเลขเห็นผลชัดเจน ทั้งการใช้สื่อออนไลน์ และอินเทอร์เน็ต ซึ่งลดลงอย่างเห็นได้ชัด รวมถึงมูลค่าความเสียหายจากอาชญากรรมออนไลน์ ก็ลดลงเช่นเดียวกัน