
นายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ แสดงความคิดเห็นสนับสนุนแนวคิดของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ที่เสนอให้ปรับอายุเกษียณราชการจาก 60 ปี เป็น 65 ปี โดยมองว่า เป็นแนวทางที่เหมาะสมกับสภาพสังคมปัจจุบัน ซึ่งบุคคลในสังคม มีอายุขัยเฉลี่ยยืนยาวขึ้น และจะช่วยลดปัญหาการขาดแคลนแรงงานมีทักษะในระบบ
นายอัษฎางค์ ยังระบุว่า หลายประเทศทั่วโลกได้ปรับอายุเกษียณขึ้นมานานแล้ว เช่น ออสเตรเลีย ที่ไม่มีการบังคับให้ประชาชนต้องเกษียณอายุการทำงาน โดยกำหนดเพียงเกณฑ์อายุรับเงินบำนาญจากรัฐที่ 67 ปี ทั้งยังมีระบบกองทุนเงินสะสมจากนายจ้าง (Superannuation) เพื่อรองรับชีวิตหลังเกษียณ ซึ่งการปรับอายุเกษียณในออสเตรเลีย ดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไปตั้งแต่ปี 1909 เริ่มจากกำหนดอายุเกษียณผู้ชายที่ 65 ปี และทยอยปรับเพิ่มจนถึง 67 ปีในปี 2023 เพื่อให้สอดคล้องกับอายุขัยที่สูงขึ้นและความมั่นคงทางการเงินของระบบบำนาญ โดยหลังเกษียณประชาชนจะได้รับเงินจาก 2 แหล่ง คือ เงินบำนาญผู้สูงอายุ (Age Pension) และกองทุนสะสมจากนายจ้าง
นายอัษฎางค์ ยังให้เหตุผลว่า เทคโนโลยีและการแพทย์ที่ก้าวหน้าทำให้คนในยุคปัจจุบัน สามารถทำงานได้ยาวนานกว่าเดิม หากยังคงเกษียณที่อายุ 60 ปี อาจต้องใช้ชีวิตต่อไปอีก 20–30 ปี โดยไม่มีรายได้ ซึ่งสร้างภาระต่อทั้งบุคคลและระบบเศรษฐกิจโดยรวม พร้อมยังชี้ว่า การขยายอายุเกษียณ เป็นแนวทางที่สอดคล้องกับหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น เยอรมนี และจีน ที่เผชิญสังคมผู้สูงวัยเช่นเดียวกัน และได้ปรับอายุเกษียณเพื่อรักษาสมดุลกำลังแรงงานและเสถียรภาพของระบบบำนาญ
นายอัษฎางค์ ยังเห็นว่า แนวคิดของนายอนุทินในการขยายอายุเกษียณเป็น 65 ปี เป็นก้าวสำคัญที่สอดคล้องกับเทรนด์โลก และเป็นการปรับตัวของไทยให้ทันกับโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนไป ช่วยให้บุคลากรมีประสบการณ์ได้ทำงานต่อเนื่อง พร้อมรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมในระยะยาว