
5 ตุลาคม 2568 ดร.สุรชาติ บำรุงสุข อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า
ในฐานะที่สอนและทำเรื่องนโยบายต่างประเทศมานาน ไม่เคยคิดว่าจะเห็นวันที่รัฐบาลไทยประกาศว่า จะทำประชามติในหัวข้อที่เป็นเรื่องนโยบายต่างประเทศ เพราะโดยปกติแล้ว ประชามติในเวทีการเมืองไทย จะมีเรื่องหลักคือ ปัญหารัฐธรรมนูญ
ดร.สุรชาติ บำรุงสุข อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
แต่ครั้งนี้ เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงคือ ทำประชามติเรื่อง “บันทึกช่วยจำไทย-กัมพูชา” ซึ่งมี 2 ฉบับ ฉบับปี 2543 เป็นเรื่องของเส้นเขตแดนทางบก และฉบับปี 2544 เป็นเรื่องเส้นเขตแดนทะเล
อย่างไรก็ตาม การนำเอาประเด็นในเรื่องของนโยบายต่างประเทศมาทำประชามติ อาจจะเป็นเรื่องที่สร้างความสับสนให้แก่ประชาชนผู้ลงประชามติมากกว่า อันเป็นผลจากการที่ประชาชนอาจจะไม่คุ้นเคยกับปัญหาด้านต่างประเทศ เพราะเป็นเรื่องไกลตัวในชีวิตประจำวัน
กระแสชาตินิยม
การกล่าวเช่นนี้ มิได้มีนัยว่า รัฐบาลไม่ควรถามความเห็นเรื่องของนโยบายต่างประเทศจากประชาชน แต่เพราะการจะทำประชามติในเรื่องหนึ่งเรื่องใดนั้น ประชาชนควรมีความรู้พื้นฐานในระดับหนึ่ง เพื่อทำให้การตัดสินใจในการออกเสียงประชามติ เกิดจากความเข้าใจ มากกว่าจะเป็นเพียงการออกเสียงตาม “กระแส”
ดังจะเห็นได้ว่า ในเงื่อนไขของความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนั้น ทำให้ “กระแสชาตินิยม” ถูกผลักดันได้ง่ายจากความรู้สึกของผู้คนในสังคมที่ไม่พอใจต่อการกระทำในด้านต่างๆ ของฝ่ายกัมพูชา และทั้งเป็นภาวะธรรมชาติในตัวเองที่จะต้องเกิดกระแสนี้ เมื่อมีความขัดแย้งระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นเรื่องที่มีประเด็นค้างคากันมาแต่เดิม
อีกทั้ง กระแสชาตินิยมยังมีส่วนอย่างสำคัญต่อการผลักดันให้เกิดการขยับตัวของ “กระแสเสนานิยม” ที่วันนี้ คนในสังคมมี “ความเห็นใจ” ทหาร ที่ต้องทำหน้าที่ในการปกป้องพื้นที่ตามแนวชายแดน และทั้งยังเป็นผลผลิตจาก “ภาพความขัดแย้ง” ที่เกิดขึ้นระหว่างฝ่ายการเมืองกับผู้นำทหารในพื้นที่ ผ่านคำบอกเล่าที่ปรากฏในคลิปเสียงสนทนาของ 2 ผู้นำฝ่ายการเมืองขณะนั้น
ฉะนั้น ในท่ามกลางการขึ้นสู่ “กระแสสูง” ทั้งในส่วนของลัทธิชาตินิยม ที่ผสมผสานเข้ากับลัทธิเสนานิยมนั้น การทำประชามติต่อบันทึกช่วยจำดังกล่าวในช่วงเวลาเช่นนี้ คนในสังคมไทยคงไม่ตอบรับกับการคงอยู่ของบันทึกนี้แน่นอน
กระแสขวาจัด
การขึ้นสู่กระแสสูงของ “ลัทธิชาตินิยม-เสนานิยม“ นั้น เป็นปัจจัยที่เป็นคุณแก่การเคลื่อนไหวของปีกขวาจัดในการเมืองไทยอย่างแน่นอน เพราะปีกนี้มีท่าทีในแบบ “แข็งกร้าว” ต่อการแก้ปัญหาข้อพิพาทไทย-กัมพูชามาโดยตลอด และนับตั้งแต่การเปิดประเด็นเรื่อง “ปราสาทพระวิหาร” ในปี 2551 เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบัน ท่าทีของกลุ่มมีความชัดเจนที่ต้องการยกเลิกบันทึกช่วยจำนี้
การเสนอของนายกรัฐมนตรีที่ต้องการให้ทำประชามติในเรื่องนี้ จึงเสมือน “เข้าทาง” กลุ่มขวาจัดอย่างง่ายดาย เพราะพวกเขาเรียกร้องให้ยกเลิกบันทึกนี้มาตั้งแต่ปี 2551 ดังนั้น เมื่อกระแสต่อต้านกัมพูชาขึ้นสูง โอกาสที่บันทึกนี้จะอยู่รอดได้ จึงมีน้อยมาก หรืออาจกล่าวประเมินได้ว่า ผลของประชามติในเรื่องนี้ ฝ่ายสนับสนุนจะแพ้อย่างแน่นอน
ฉะนั้น เมื่อกระแสขวามีนัยโดยตรงคือ “กระแสต่อต้านกัมพูชา” แล้ว ผลของประชามติในข้อนี้ ก็แทบไม่มีความจำเป็นต้องสำรวจแต่อย่างใด เพราะ “แพ้แน่นอน” เนื่องจากใครที่เห็นต่าง อาจถูกตราหน้าว่า “ไม่รักชาติ” จึงทำให้คนจำนวนมากลงเสียงด้วยความเชื่อว่า การรักชาติคือ “การไม่รับเอ็มโอยู” อีกทั้ง คาดการณ์ได้ไม่ยากว่า เมื่อใกล้เวลาประชามติแล้ว ฝ่ายขวาจัดจะมีการรณรงค์ให้ “ฉีกเอ็มโอยู” และใครที่ไม่เห็นด้วยจะถูกจัดให้เป็น “คนขายชาติ” อย่างหนีไม่พ้น
กระแสประชาชน
ข้อกังวลของหลายฝ่ายที่มีความเห็นแย้งต่อการจัดทำประชามติ คือ ความรู้และความเข้าใจของประชาชนในฐานะของการเป็นผู้ออกเสียง และประชามตินี้จะต้องมีบัตร 2 ใบ คือ ใบหนึ่งของ MoU 2543 และอีกใบเป็นของ MoU 2544 ซึ่งอาจจะเป็นความยุ่งยาก เพราะจะต้องไปลงประชามติพร้อมกับประเด็นเรื่องรัฐธรรมนูญ ซึ่งมี 2 ข้อ พร้อมกับต้องลงเสียงของ สส. บัญชีรายชื่อ และ สส. เขต ในคราวเดียวกัน ซึ่งเท่ากับมีนัยว่า ประชาชนในฐานะผู้ออกเสียงจะต้อง “กาบัตร” ทั้งหมด 6 ใบ อันเท่ากับเป็นสัญญาณของความยุ่งยากสำหรับประชาชนอย่างแน่นอน
ความยุ่งยากของการต้อง “กา 6 คำถาม” นั้น ยังสำทับด้วยปัญหาความเข้าใจที่ประชาชนพึงต่อผลดีและผลเสียของบันทึกช่วยจำแต่ละฉบับ จนสามารถวินิจฉัยได้ และสามารถออกความเห็นได้อย่างแท้จริง มิใช่เป็นการออกเสียงตามประชามติตามกระแสสังคม ที่กำลังเคลื่อนไปด้วยแรงของ “ลัทธิชาตินิยม-เสนานิยม” ซึ่งข้อห่วงใยนี้ อาจจะตอบด้วยความเป็นจริง เพราะคนในสังคม รับรู้ปัญหาผ่านกระแส ไม่ใช่ผ่านบทความวิชาการที่มีการอภิปรายถึงปัญหานี้อย่างรอบด้าน จนอาจต้องยอมรับความจริงว่า กระแสประชาชนมาจากการผลักดันของ “กระแสสื่อ” ที่ขับเคลื่อนในสังคม และกระแสสื่อมีทิศทางที่ไหลไปในทางกระแสชาตินิยม
ถ้าคิดจะอาศัยความเห็นนักวิชาการ ก็อาจเป็นไปได้ยาก เพราะนักวิชาการมีความเห็นแตกต่างกัน และนักวิชาการที่ทำวิจัยในเรื่องนี้โดยตรงก็มีจำนวนน้อยมาก แต่ถ้าจะขอความเห็นจากกระทรวงการต่างประเทศ หรือ กรมแผนที่ทหาร คนก็อาจไม่ไว้ใจ และข้าราชการเองก็มองทางลมของฝ่ายการเมืองด้วย ซึ่งเท่ากับสังคมไทยอาจจะไม่มี “คนกลาง” ในกรณีนี้
ท้ายบท
เขียนมาทั้งหมด เพื่อส่งสัญญาณว่า ผลของประชามติบันทึกช่วยจำทั้ง 2 ฉบับนี้ “แพ้แน่นอน” แต่ปัญหาคือ เมื่อไม่มีบันทึกนี้แล้ว การเจรจาปัญหาเส้นเขตแดนระหว่างประเทศทั้ง 2 ที่มีข้อพิพาทต่อกันอยู่นี้ จะเดินต่อไปอย่างไร หรือจะเขียนกันใหม่หลังถูกยกเลิก แต่เมื่อถูกยกเลิกแล้ว ใครจะ “กล้า” เขียน
ในที่สุดแล้ว การไม่มีบันทึกนี้คือ การปูทางไปการ “สู้คดีในศาลโลก” อย่างที่ฝ่ายกัมพูชาต้องการมาตลอด และการ “ฉีก” บันทึกนี้จะเป็น “ชัยชนะของกัมพูชา” ที่ฝ่ายขวาจัดไทยช่วยจัด โดยมีรัฐบาลเป็นผู้ดำเนินการให้อย่างดีด้วยการทำประชามติ !