
3 ตุลาคม 2568 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีรายงานว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ลงนามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 439/2568 เรื่อง ลงโทษปลด พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา อดีตรอง ผบ.ตร. ออกจากราชการ ใจความว่า
ด้วย พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา (เกษียณอายุราชการ เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2565) ดำรงตำแหน่ง รอง ผบ.ตร.ผู้ถูกกล่าวหา มีกรณีถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง ตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 383/2563 ลงวันที่ 24 กรกฎาคม 2563 และที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 568/2563 ลงวันที่ 30 ตุลาคม 2563 คำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 222/2564 ลงวันที่ 11 พฤษภาคม 2564 คำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 371/2564 ลงวันที่ 29 กรกฎาคม 2564 คำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 69/2565 ลงวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2565 คำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 20/2566 ลงวันที่ 12 มกราคม 2566 คำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 305/2566 ลงวันที่ 15 พฤษภาคม 2566 คำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 46/2567 ลงวันที่ 23 มกราคม 2567 และคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 79/2568 ลงวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2568
ผลการสอบสวนรับฟังได้ว่า พล.ต.อ.วิระชัย กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง ฐานกระทำการอันได้ชื่อว่า เป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ต้องรักษาความลับของทางราชการ ต้องไม่กระทำการอันเป็นสาเหตุให้แตกความสามัคคีระหว่างข้าราชการตำรวจ ต้องไม่กระทำหรือละเว้นการกระทำใดๆ อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการหรือทำให้เสียระเบียบแบบแผนของตำรวจ กระทำหรือละเว้นการกระทำใดๆ รวมทั้งการกระทำผิดตามมาตรา 78 อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง ตามพ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 มาตรา 79 (5), (6) ประกอบมาตรา 78 (6), (10), (15) โดยมีพฤติการณ์การกระทำผิด ดังนี้
เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2563 พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.ได้รับอนุมัติจากนายกรัฐมนตรีให้ลาพักผ่อนและให้เดินทางไปต่างประเทศ (ประเทศสหรัฐอเมริกา) มีกำหนด 6 วัน นับแต่วันที่ 6 มกราคม 2563 ถึงวันที่ 12 มกราคม 2566 โดยมี พล.ต.อ.วิระชัย ผู้ถูกกล่าวหา รักษาราชการแทน ผบ.ตร. ต่อมาในวันที่ 6 มกราคม 2563 เวลาประมาณ 21.40 น. ได้เกิดเหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงไปที่รถยนต์ของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ซึ่งจอดอยู่บริเวณหน้าร้านนวดแห่งหนึ่งบนถนนสุรวงศ์ ท้องที่ สน.บางรัก
หลังเกิดเหตุไม่นาน ผู้ถูกกล่าวหาซึ่งทำหน้าที่รักษาราชการแทน ผบ.ตร.ในขณะนั้น ได้เดินทางไปที่เกิดเหตุ ติดตามความคืบหน้าคดีดังกล่าว และมีการให้ข่าวให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนแขนงต่างๆ โดยเฉพาะในวันที่ 7 มกราคม 2563 เวลาประมาณ 11.30 น. ผู้ถูกกล่าวหา ได้ให้ข่าวและให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนที่ กองบังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล เกี่ยวกับผลการสืบสวนสอบสวน คดีคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงไปที่รถยนต์ของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์
โดยให้ข่าวและให้สัมภาษณ์ว่า ผู้ถูกกล่าวหาได้พูดคุยกับ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ทราบว่า พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ไม่มีประเด็นเรื่องชู้สาว ไม่ได้ประกอบธุรกิจส่วนตัว ไม่มีความขัดแย้งกับบุคคลใด ผู้ถูกกล่าวหาจึงตัดประเด็นดังกล่าวออกจากแนวทางการสืบสวนสอบสวน
แต่กลับให้ข่าวให้สัมภาษณ์ในทำนองว่า ประเด็นโครงการ Biometrics นั้น ยังอยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวน วันที่ 8 มกราคม 2563 เวลาประมาณ 23.22 น. พล.ต.อ.จักรทิพย์ ได้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ของตน ติดต่อไปยังโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้ถูกกล่าวหา เพื่อกำชับการปฏิบัติราชการเกี่ยวกับการให้ข่าวให้สัมภาษณ์ ในการสืบสวนสอบสวนคดีอาญาให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบและคำสั่งที่เกี่ยวข้อง
ปรากฏว่าผู้ถูกกล่าวหาได้ลักลอบบันทึกเสียงสนทนาโดยที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ไม่ทราบ และไม่ได้ให้ความยินยอมใ นการบันทึกเสียงสนทนาดังกล่าวแต่อย่างใด โดยผู้ถูกกล่าวหาอ้างว่า สาเหตุที่ได้ทำการบันทึกเสียงสนทนานั้น เนื่องจากเห็นว่า ข้อสั่งการของ ผบ.ตร.เป็นข้อสั่งการที่สำคัญ และเป็นข้อสั่งการที่ชอบด้วยระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้อง จึงได้บันทึกเอาไว้เพื่อจุดประสงค์ในการฟังทบทวนคำสั่ง ไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดในการปฏิบัติ และเพื่อให้ได้ความสมบูรณ์ครบถ้ว นและเข้าใจได้อย่างถูกต้องในการรับคำสั่ง
วันที่ 9 มกราคม 2563 เวลาประมาณ 08.00 น. รายการเจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand ได้เผยแพร่คลิปเสียงสนทนาทางโทรศัพท์ โดยมีเนื้อหาเป็นการพูดคุยระหว่าง ผบ.ตร. กับผู้ถูกกล่าวหา เกี่ยวกับการกำชับการปฏิบัติราชการของผู้ถูกกล่าวหาในคดียิงรถยนต์ของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ และหลังจากนั้นได้มีสื่อมวลชนแขนงต่างๆ ทั้งที่ปรากฏทางโทรทัศน์ วิทยุ สื่อสิ่งพิมพ์ ตลอดจนสื่อสังคมออนไลน์ นำคลิปเสียงสนทนาดังกล่าวเปิดเผยเช่นเดียวกัน โดยมีลักษณะการนำเสนอในทำนองว่า ผบ.ตร.สั่งการให้ผู้ถูกกล่าวหา ยุติการสืบสวนสอบสวน หรือสั่งการไม่ให้ผู้ถูกกล่าวหา เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าว
ส่งผลให้เกิดวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมทวีความรุนแรงและแพร่หลายมากยิ่งขึ้น จนเป็นกระแสหลักในการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนแขนงต่างๆ ในขณะนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสื่อสังคมออนไลน์ ได้มีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงการปฏิบัติหน้าที่ของ ผบ.ตร. ในทำนองว่า เป็นการใช้อำนาจหน้าที่สั่งยุติการสืบสวนสอบสวนคดีดังกล่าว และได้ไขข่าวแพร่หลายกันต่อเนื่องเป็นทอดๆ ในวงกว้าง อีกทั้งยังได้มีการแสดงความคิดเห็นถึง ผบ.ตร.และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ด้วยถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น เกลียดชัง
การที่ผู้ถูกกล่าวหาในฐานะผู้รักษาราชการแทน ผบ.ตร. ให้สัมภาษณ์แก่สื่อมวลชนดังกล่าว ก่อให้เกิดผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชน เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ในการอำนวยความยุติธรรรม ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดของประชาชนโดยทั่วไป ที่ได้รับข้อมูลข่าวสาร จนเป็นเหตุให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถูกดูหมิ่น เหยียดหยาม เกลียดชัง อันเป็นการเสื่อมเสียชื่อเสียงต่อเกียรติศักดิ์ของตำแหน่งหน้าที่ ทำให้เกิดการแตกความสามัคคีระหว่างข้าราชการตำรวจ ทั้งก่อให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติอย่างร้ายแรง
และการที่ผู้ถูกกล่าวหาลักลอบบันทึกเสียงสนทนาระหว่างผู้ถูกกล่าวหากับ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ซึ่งขณะเกิดเหตุดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร. เป็นผู้บังคับบัญชาของผู้ถูกกล่าวหาโดยตรง และเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แล้วมีสื่อมวลชนนำบันทึกเสียงดังกล่าวออกเผยแพร่ตามสื่อต่างๆ ซึ่งไม่ว่าผู้ถูกกล่าวหา จะเป็นผู้เผยแพร่บันทึกเสียงดังกล่าวหรือไม่ก็ตาม แต่ด้วยเกียรติศักดิ์ของตำแหน่งหน้าที่ของผู้ถูกกล่าวหาดังกล่าว ผู้ถูกกล่าวหาย่อมตระหนักดีและย่อมเล็งเห็นผลได้ว่า การส่งต่อบันทึกเสียงสนทนาทางแอปพลิเคชันไลน์ สามารถกระทำได้โดยง่าย และเผยแพร่ทางสื่อมวลชนตลอดจนบุคคลทั่วไปในวงกว้างได้อย่างรวดเร็ว ไม่สามารถควบคุมได้ และจะส่งผลเสียหายต่อบุคคลที่เกี่ยวข้อ งและสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ เป็นการทำให้เกิดการแตกความสามัคคีระหว่างข้าราชการตำรวจ อันส่งผลโดยตรงต่อการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการตำรวจ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นเหตุให้ราชการเสียหายอย่างร้ายแรง และทำให้บุคคลทั่วไปที่ได้รับทราบข้อมูลจากการเสนอข่าว แสดงความคิดเห็นต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในลักษณะดูหมิ่น เหยียดหยาม เกลียดชัง อันเป็นการเสื่อมเสียชื่อเสียงต่อเกียรติศักดิ์ตำแหน่งหน้าที่ ก่อให้เกิดผลกระทบต่อภาพลักษณ์ และนำความเสื่อมเสียมาสู่สำนักงานตำรวจแห่งชาติอย่างร้ายแรง
คณะกรรมการพิจารณาเพื่อเสนอแนะการลงโทษตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 มาตรา 125 วรรคสอง พิจารณาในการประชุมครั้งที่ 4/2568 เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2568 ที่ประชุมมีมติเห็นควรลงโทษปลด พล.ต.อ.วิระชัย ออกจากราชการ
ฉะนั้น อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 105 มาตรา 125 มาตรา 179 และมาตรา 180 แห่ง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 ระเบียบ ก.ตร. ว่าด้วยวันออกจากราชการของข้าราชการตำรวจ พ.ศ.2547 ข้อ 6 (3) จึงให้ลงโทษปลด พล.ต.อ.วิระชัย ออกจากราชการ ทั้งนี้ แต่วันที่ 30 ก.ย.2565 ซึ่งเป็นวันสิ้นถึงประมาณและผู้นั้นมีอายุครบ 60 ปี บริบูรณ์
อนึ่ง หากผู้ถูกลงโทษประสงค์จะอุทธรณ์คำสั่งนี้ ให้ยื่นอุทธรณ์ต่อ ก.พ.ค.ตร. ภายใน 30 วัน นับแต่วันรับทราบคำสั่ง และหากประสงค์จะฟ้องโต้แย้งคำสั่ง หรือคำวินิจฉัยอุทธรณ์นี้ ให้ทำคำฟ้องเป็นหนังสือยื่นต่อศาลปกครอง หรือส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียน ไปยังศาลปกครองภายใน 90 วัน นับแต่วันที่ได้รับทราบคำวินิจฉัยอุทธรณ์ หรือ ภายใน 90 วัน นับแต่วันพ้นกำหนด 90 วัน นับแต่วันที่ผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือร้องขอทราบผลการวินิจฉัยอุทธรณ์