svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

ภท.ประท้วงวุ่น! “ทวี” จี้ใจดำอัดปม “เขากระโดง-ฮั้ว สว.” กลางสภา

ภท.ประท้วงวุ่น! “ทวี” จี้ใจดำกลางสภา อัดปม “เขากระโดง-ฮั้ว สว.” ในแถลงนโยบาย สส.ค่ายสีน้ำเงิน แท็กทีมถล่มให้หยุดอภิปราย คนพูดศาลสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่

29 กันยายน 2568 ที่รัฐสภา พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง หัวหน้าพรรคประชาชาติ ลุกขึ้นอภิปรายนโยบายของรัฐบาลว่า แม้รัฐบาลจะประกาศว่าเป็นรัฐบาล 4 เดือน แต่ถ้าดูจากการแถลงนโยบาย เหมือนจะขับเคลื่อนประเทศไปอีก 4 ปี โดยเฉพาะ พ.ร.บ.งบประมาณ 2569 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท ซึ่งงบประมาณทั้งหมดมีแผนงานโครงการที่ใช้ทุกบาททุกสตางค์ สิ่งเดียวที่นายกรัฐมนตรีใช้ได้ก็คืองบกลาง เพราะฉะนั้นการแถลงนโยบายกับงบประมาณเป็นคนละเรื่องกัน จึงคิดว่าถ้าเราไม่อยู่ในโลกของความเป็นจริงก็เหมือนการขายฝัน และอาจจะเรียกได้ว่า นโยบายนี้เป็นนโยบายของคนโกหก หรือเป็นเรื่องโกหกของนโยบาย ซึ่งไม่ใช่เชิงตำหนิ เพราะว่าถ้ามีนโยบายแต่ไม่มีงบประมาณ แล้วจะไปตั้ง พ.ร.บ.งบประมาณ หรือไปกู้ที่ผลักภาระให้ประชาชน มันยิ่งเลวร้ายใหญ่ ที่สำคัญในช่วง 4 เดือนที่จะยุบสภา รัฐบาลต้องคิดว่าสิ่งที่รัฐบาลควรทำคืออะไร และสิ่งที่รัฐบาลต้องทำและไม่ควรทำอะไร และรัฐบาลต้องไม่ทำอะไร

สิ่งที่รัฐบาลควรทำก็คือ การประกาศให้เห็นว่าคณะรัฐมนตรีต้องมีความซื่อสัตย์สุจริต รัฐบาลต้องทำงานประจำที่มีการบริหารงบประมาณ 3.78 ล้านล้าน ซึ่งผ่านการพิจารณาทั้งสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา งบประมาณก้อนนี้จะทำให้ลดความเหลื่อมล้ำ การศึกษาดีขึ้น เศรษฐกิจดีขึ้น รัฐบาลก็ควรไปทำงานประจำให้ดีขึ้น สิ่งที่รัฐบาลต้องไม่ทำอะไรก็คือการทุจริต คือการไม่ใช้กฎหมายอยู่เหนือความยุติธรรม การไม่ใช้อำนาจไปแทรกแซง ซึ่งทั้งหมดนี้เขียนไว้ในนโยบายแล้ว

พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง หัวหน้าพรรคประชาชาติ


 

พันตำรวจเอก ทวี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้แถลงนโยบายด้านสังคมในข้อ 9 ว่า จะรักษาหลักนิติธรรมอย่างเคร่งครัด โดยให้ถือว่าการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐในกรณีเหล่านี้ เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง และต้องดำเนินการทางอาญาอย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะข้อ 9.2 ที่บอกว่าการใช้กฎหมายและเจ้าหน้าที่เพื่อประโยชน์ทางการเมือง ในหลักความเป็นจริงกฎหมายจะดีแค่ไห นนโยบายจะดีแค่ไหน แต่ถ้าคนที่เข้ามาไม่สัตย์ซื่อ ไม่ดำรงไว้ซึ่งหลักนิติธรรม กฎหมายนั้นก็ไม่มีประโยชน์
 

สิ่งที่เราจะเห็นคือรายชื่อคณะรัฐมนตรีหลายคน ซึ่งมีเพื่อนสมาชิกได้พูดไปแล้วว่า ความสงสัยในความไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนและไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานของจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตนเชื่อว่าใน 1-2 วันนี้ จะมีเพื่อนสมาชิกหยิบประเด็นนี้ขึ้นมา แต่โดยประสบการณ์ส่วนตัวพบว่า อย่างน้อย 7-8 คน ที่เห็นว่ามีความห่วงใย โอกาสนี้จะหยิบเรื่องใน 4 เดือน มีเรื่องที่เกี่ยวกับเสถียรภาพของฝ่ายนิติบัญญัติฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ ซึ่งนายกรัฐมนตรีปฏิเสธไม่ได้
 

เรื่องแรกคือ ที่ดินเขากระโดง ที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงมหาดไทย กรมที่ดินมีบางคนบอกว่า เขากระโดงไม่ได้เกี่ยวกับกรมที่ดินเลย แต่เกี่ยวกับการรถไฟและกระทรวงคมนาคม แสดงว่าไม่ได้ดูคำพิพากษา ซึ่งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย เรามีคำพิพากษาของศาลยุติธรรม 8 ฉบับ และศาลปกครอง 1 ฉบับ ซึ่งผู้พิพากษาได้ตัดสินว่าที่ดินเขากระโดงจำนวน 5083 ไร่ 80 ตารางวา เป็นที่ดินของการรถไฟฯ การออกเอกสารสิทธิ์ไปทับที่ส่วนนี้ไม่สามารถกระทำได้ 

พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง

ทั้งนี้ ที่ดินของการรถไฟฯ เกิดมาก่อนประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 10 บอกว่าที่ดินที่เกิดมาก่อนนั้น ไม่ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน และยังบอกว่าที่หวงห้ามจะไม่สามารถออกเอกสารสิทธิ์ได้ ซึ่งเมื่อผู้พิพากษาทั้ง 24 คน ได้ผ่านการตัดสินจำนวน 9 คำพิพากษา ว่าที่ดินนี้เป็นของการรถไฟ ฯ ซึ่งรัชกาลที่ 6 ทรงพระราชทานให้ วันนี้จะไปช่วงชิงที่ดินนี้มาเชียวหรือ

 

ซึ่งศาลที่สั่งครั้งสุดท้ายคือศาลปกครอง และคู่ความไม่ได้อุทธรณ์ไปยังศาลปกครองสูงสุด โดยศาลปกครองได้พิพากษาให้ผู้ถูกฟ้อง 2 คืออธิบดีกรมที่ดิน

ระหว่างนี้ นายสนอง เทพอักษรณรงค์ สส.บุรีรัมย์ พรรคภูมิใจไทย ลุกขึ้นประท้วง พันตำรวจเอก ทวี ซึ่งในที่ประชุมมี นายมงคล สุระสัจจะ ทำหน้าที่ประธานการประชุม

นายมงคล สุระสัจจะ


นายสนอง บอกว่า วันนี้นายกรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ไม่มีประเด็นเหล่านี้ ก็ไม่มีใครไปแทรกแซงอะไร ที่ดินเขากระโดงลุกขึ้นเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น เล่าเรื่องเก่าเก่าซ้ำซาก ยุติได้แล้ว ไม่มีใครไปแทรกแซง ตัวท่านเองต่างหากที่แทรกแซงจนศาลสั่งหยุดปฎิบัติหน้าที่ เอาคนอย่างนี้มาพูด ตนว่าเอาประเด็นที่รัฐบาลจะทำต่อในช่วง 4 เดือน ถ้าเห็นข้อบกพร่องอะไร ให้ดูต่อไป แล้วค่อยมาอภิปรายไม่ไว้วางใจ

พันตำรวจเอก ทวี กล่าวต่อว่า เมื่อศาลปกครองสั่งเมื่อ 30 มีนาคม 2566 บอกว่าให้ผู้ถูกฟ้องที่ 2 คืออธิบดีกรมที่ดิน ปฎิบัติตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน  ซึ่งรัฐธรรมนูญเขียนชัดเจนว่า รัฐต้องดูแลให้มีการปฏิบัติตาม และใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ซึ่งกรมที่ดินยินยอมปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ด้วยการตั้งกับคณะกรรมการตามมาตรา 66 วรรค 2 แต่ไม่ไปทำตามที่ศาลปกครองสั่ง ก็คือการสำรวจแนวเขต แต่กลับไปพิพากษาคดีใหม่ ไปเอาแผนที่มา ซึ่งเรื่องทั้งหมดถูกตัดสินโดย 9 ศาลอย่างชัดเจน และศาลสุดท้ายก็ฟ้อง 5000 กว่าไร่ คณะกรรมการชุดนี้จึงทำตัวตามอำเภอใจ ไม่ได้ทำตามกฏหมาย โดยศาลให้คำแนะนำว่าให้การรถไฟฯ หรือผู้ฟ้อง และกรมที่ดิน มาร่วมสำรวจด้วย และออกคำสั่งให้ทั้ง 2 หน่วย มาร่วมสำรวจและต้องเสียงบประมาณ แต่ปรากฏว่าเมื่อ 21 ตุลาคม 2567 อธิบดีกรมที่ดินสั่งยุติ ทั้งที่การรถไฟกับผู้สำรวจกำลังสำรวจอยู่ จนทำเสร็จ ซึ่งถ้าทำเสร็จตามกฏหมายมาตรา 61 เซ็นชื่อหมดแล้วเหลือเพียงการเพิกถอน ซึ่งสามารถทำได้ในวันรุ่งขึ้น นี่จึงเป็นเหตุที่ นายภูมิธรรม เวชยชัย อดีตรองนายกฯ และ รมว.และมหาดไทย จึงมาดูว่า ยังไม่ได้ปฏิบัติตามกฏหมายให้ครบ และไม่บังคับตามคำพิพากษา

โดยเมื่อ 27 สิงหาคม 2568 ผู้ว่าการรถไฟฯ คนปัจจุบัน เห็นว่างานธุรการยังไม่เรียบร้อย จึงไปประชุมกับผู้สำรวจ และรับรองแนวเขต อันนี้คือเรื่องจบแล้ว มีหน้าที่แค่เพิกถอน ระหว่างนี้มีผู้ไปร้องและพบว่าสนามช้างอารีนา มีร่องรอยของการไปสร้างทับที่สาธารณะ ก็มีคนมาร้องทุกข์ผู้ว่าการรถไฟฯ ทางผู้ว่าการรถไฟฯ ก็ไปร้องทุกข์ในวันที่ 3 กันยายน 2568 และมีการเลือกนายกฯ ในวันที่ 5 กันยายน 2568 ผู้ว่าการรถไฟฯ ก็เซ็นหนังสือยืนยันกับกรมที่ดิน แต่ทราบหรือไม่ว่าหลังจากที่มีนายกรัฐมนตรี  ทางกระทรวงมหาดไทยไปสั่งยุติ

ในช่วงนี้ นายสนอง ได้ลุกขึ้นประท้วงอีกครั้งว่า เรื่องนี้คนเค้ารู้กันทั่ว จากผู้ที่ฟ้อง 35 ราย ทางกรมที่ดินได้เพิกถอนสิทธิ์ ขณะนี้การแถลงข่าวของการรถไฟฯ ทราบว่าการรถไฟฯ จะฟ้องเป็นรายบุคคล เป็นรายแปลง ก็ปล่อยให้ศาลดำเนินการไป ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับผู้ที่กำลังอภิปราย พันตำรวจเอก ทวี) เลย เพราะฉะนั้นขอให้ยุติได้แล้ว

ระหว่างนี้ นายกมลศักดิ์ ลีวาเมาะ สส.นราธิวาส พรรคประชาชาติ กล่าวว่า การประชุมรัฐสภามีข้อบังคับของการประชุมร่วมรัฐสภา ข้อ 47 กรณีที่สมาชิกรัฐสภาผู้ใดต้องการประท้วงว่า มีการฝ่าฝืนข้อบังคับ ให้ยืนและยกมือขึ้น และบอกด้วยว่า ผู้กำลังอภิปรายทำผิดข้อบังคับข้อไหน แต่ผู้ประท้วงยกมือแล้วก็กล่าวโดยไม่ได้อ้างถึงการผิดข้อบังคับ ซึ่งก่อนหน้านี้ประธานก็ได้วินิจฉัย ให้มีการอภิปรายต่อ จึงขอให้ประธานวินิจฉัยและปฏิบัติตามข้อบังคับข้อ 5 (4) ด้วย

นายสนอง จึงตอบไปว่า ตนประท้วงตามข้อบังคับที่ 45 อภิปรายวนเวียนซ้ำซาก ฟุ่มเฟือย

จากนั้น นางสาวแนน บุณย์ธิดา สมชัย สส.อุบลราชธานี พรรคภูมิใจไทย กล่าวว่าข้อบังคับข้อที่ 45 การอภิปรายต้องอยู่ในประเด็นที่วาระวันนี้ คือการแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา เพราะฉะนั้นสมาชิกคนใดที่มีข้อเสนอเกี่ยวกับนโยบาย หรือมีข้อแนะนำ ติติงก็ตามวาระวันนี้ ส่วนเรื่องอื่นที่นำเรื่องอดีตมาพูด เอาเรื่องที่แล้วมามาพูด แต่ตอนที่อยู่ด้วยกันก็ไม่เห็ยพูดอะไรเลย

สุดท้าย ประธานในประชุม ได้วินิจฉัยว่า ตอนนี้รัฐบาลยังไม่ได้บริหารราชการแผ่นดิน จึงขอให้อภิปรายตรงประเด็น และเป็นประเด็นที่อยู่ในการแถลงนโยบายอย่ายกประเด็นที่แล้วมา

พันตำรวจเอก ทวี จึงกล่าวต่อว่า พี่ตนพูดว่านโยบายจะไม่ใช้กฎหมายและเจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อประโยชน์ทางการเมือง ก็จะยืนยันว่าประโยชน์ทางการเมืองคือ นายกรัฐมนตรี เป็นรัฐมนตรีมหาดไทย และไปมีบ้านอยู่เลขที่ 30/2 หมู่ 4 ต.อิสาณ อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ และยังมีที่ดินและธุรกิจมากมาย ซึ่งเมื่อผู้พิพากษา 24 คน และคณะกรรมการตามมาตรา 66 เข้าเป็นกรรมการ วันดีคืนดีไปเป็นรองผู้ว่าฯ ยะลา ซึ่งมีอาวุโสต่ำสุด แล้วก็ไปหักล้างคำพิพากษาที่วินิจฉัยมาแล้ว ปัจจุบันทราบว่าไปเป็นรองผู้ว่าฯ ศรีสะเกษ

ดังนั้นการที่นายกฯ บอกว่าจะไม่มีใครอยู่เบื้องหลัง แต่สิ่งที่ตนเห็นคือมีผลกระทบต่อภาพรวมต่อความเสียหายของการรถไฟฯ ต้องสูญเสียที่ดิน 5,083 ไร่ คิดเป็นเงินหมื่นล้าน และปล่อยให้โฉนดเป็นโมฆะ ทำให้กลุ่มบุคคลต่างๆ เข้ามาจัดหาผลประโยชน์ แทนที่จะสาธารณสมบัตินี้จะเป็นของแผ่นดิน เป็นการบ่อนทำลายหลักนิติธรรม หลักนิติรัฐ ซึ่งตนคิดว่าคำพิพากษาในพระปรมาภิไทยเป็นคำพิพากษาที่ทรงคุณค่า แต่ท่านกลับให้หน่วยงานไปตีความตามอำเภอใจ และเป็นเจ้าหน้าที่ในท้องถิ่นทั้งหมด ต่อมาก็เกิดความเหลื่อมล้ำในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งท่านพูดแล้วว่าจะไม่ใช้อำนาจอยู่เหนือกฎหมาย หรือรับใช้การเมือง จึงขอเตือน อีกทั้งยังมีการละเลยรัฐธรรมนูญ จึงคิดว่าเป็นเรื่องที่ตนต้องอภิปราย
 

ทวี ขอเปลี่ยนตัวประธานอภิปรายนโยบาย ซัดไม่เป็นกลาง
 

อีกเรื่องหนึ่ง ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับประธาน นายมงคล ด้วย ซึ่งตนไม่มีอคติ แต่จะพูดบนพื้นฐานว่า เรื่องนี้มันกระทบต่อเสถียรภาพ ทั้งฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายบริหาร คือการให้ได้มาซึ่งวุฒิสภา เกิดขึ้นเมื่อ 26 มิถุนา 2567 ตนไม่ได้กล่าวหาประธาน แต่ในช่วงที่ตนเป็นคณะกรรมการคดีพิเศษ ก็อยากจะเล่า

ระหว่างนี้ นายกรวีร์ ปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย ได้ลุกขึ้นประท้วงว่า ทั้งเรื่องเขากระโดง และ ฮั้ว สว. พวกตนฟังเรื่องนี้หลายรอบแล้ว และตนลุกขึ้นประท้วงในข้อบังคับที่ 45 ซึ่งต้องอภิปรายเกี่ยวกับประเด็นที่ปรึกษากันอยู่ และข้อ 47 คำวินิจฉัยของประธานถือเป็นเด็ดขาด ตนทนฟังมาแต่ไม่ได้ลุกขึ้นประท้วง เพราะมีเพื่อนสมาชิกประท้วงไปแล้ว ซึ่งประธานก็วินิจฉัยไปแล้วว่า เรื่องที่กำลังอภิปรายกันอยู่คือเรื่องของการแถลงนโยบายของรัฐบาล ไม่ใช่การอภิปรายไม่ไว้วางใจ ดังนั้นเรื่องที่เกิดขึ้นมันเกิดในสมัยรัฐบาลที่แล้ว ซึ่งพวกตนก็เป็นฝ่ายค้านมาได้ 2 เดือน ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับนายกรัฐมนตรีในการบริหารราชการแผ่นดิน แม้แต่เล็กน้อย การที่พูดถึงเรื่องนิติธรรมก็เพราะว่ามันมีปัญหาแบบนี้ ที่มีการใช้อำนาจบริหารไปใช้ให้เกิดประโยชน์ทางการเมือง นายกฯ จึงไม่อยากเห็นภาพเหล่านี้ จึงขอประธานวินิจฉัย

จากนั้น นายมงคล ประธานในที่ประชุม จึงวินิจฉัยว่า ตอนนี้เป็นการอภิปรายเรื่องของนโยบายรัฐบาล จึงขอให้อยู่ในนโยบายเท่านั้น สิ่งที่อภิปรายตอนนี้เหมือนอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งรัฐบาลยังไม่ได้บริหารราชการแผ่นดิน จึงขอให้เข้าประเด็นในเรื่องนโยบายรัฐบาล

พันตำรวจเอก ทวี จึงกล่าวต่อว่า อย่างน้อยก็ยังมี อนุ กกต. ได้ส่งเรื่อง ซึ่งมีคณะรัฐมนตรีนี้ 6-7 คน ต้องไปรับทราบข้อกล่าวหา และก็ไปรับทราบข้อกล่าวหาแล้วแต่ก็ยังมีคดีที่เกี่ยวเนื่องทราบว่า 229 คนรวมไปถึงท่านประธานด้วยประเด็นสำคัญคือ อย่างมีคนในคณะรัฐมนตรี จึงขอฝาก นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมายว่า ความผิดฐานอั้งยี่หรือฟอกเงิน ตนคิดว่ามหันตภัยที่อันตรายที่สุดที่ทำลายระบบประชาธิปไตยครั้งนี้ แต่ก่อนเรามีสภาสองน้ำคือ สว. ที่มาจากการแต่งตั้งแต่วันนี้ สว. มาจากการเลือกตั้งแต่ปรากฏว่า ในหลักฐานซึ่งโพยฮั้วถ้าเอารูปไปดูเหมือนกันเปิดถีบบาทตรงกันร้อยเปอร์เซ็นต์ คนที่เลือกไม่ต้องใช้ความรู้ความสามารถเลือกตามโพยและคนกลุ่มนี้ก็ต้องมานั่ง
 

ภท.โต้กลับ "ทวี" ให้หยุดอภิปราย เหตุคนพูดถูกศาลสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่
 

นายพลพีร์ สุวรรณฉวี สส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย ลุกขึ้นประท้วงว่า ผู้อภิปรายควรพอได้แล้ว เพราะออกนอกเรื่องไปไกล และท่านหรือไม่ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ เพราะแทรกแซง  ทั้งนี้ ตามนโยบายของนายกฯ อนุทิน ข้อ 9.2 การใช้กฎหมายและเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อประโยชน์ทางการเมือง เราไม่มีหรอก เพราะฉะนั้นศาลตัดสินไปแล้วก็ควรหยุดได้แล้ว มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการแถลงนโยบาย

นายมงคล ประธานในที่ประชุม จึงขอให้พันตำรวจเอก ทวี เข้าเรื่องนโยบายรัฐบาล อย่าเอาเรื่องที่แล้วมามาพูด เพราะเรื่องที่พูดอยู่ในกระบวนการของ กกต. ให้กระบวนการยุติธรรมดำเนินการไป

พันตำรวจเอก ทวี จึงกล่าวต่อว่า เรื่องที่ตนพูดเป็นเรื่องเดียวกับที่นายบวรศักดิ์พูด คือ ฮั้ว สว.  และเขากระโดง ซึ่งตนไม่มีอะไร แต่อยากให้นายกฯ และ ครม. ปล่อยให้พนักงานสอบสวนทำ เพราะเรื่องนี้เป็นหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ทั้งหมด

จากนั้น นายอดิศร เพียงเกษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นกล่าวว่า ประเด็นที่กำลังพูดกันมีส่วนเกี่ยวข้องกับประธานในที่ประชุม โดยเฉพาะฮั้ว สว. ตนจึงไม่อยากให้นายบุคคลนั่งเป็นประธาน เพราะไม่เป็นกลางอย่างแน่นอน ทำหน้าที่ต่อไปไม่ได้ จึงขอเชิญ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา  มาทำหน้าที่แทน ต่อมาก็มีผู้ประท้วงอีก เช่นเดียวกับ นายกมลศักดิ์ ที่บอกว่า เค้าวินิจฉัยของประธาน วางตัวเป็นกลางเลย แต่ไปคล้อยตามกับผู้ที่ประท้วง พันตำรวจเอก ทวี ซึ่งกำลังอภิปรายนโยบายรัฐบาล เกี่ยวกับหลักนิติธรรมอย่างเคร่งครัด

จากนั้นก็มีเพื่อนสมาชิก โดยเฉพาะสมาชิกวุฒิสภา ที่เห็นตรงกันว่า การอภิปรายของพันตำรวจเอก ทวี ไม่ตรงประเด็นแถลงนโยบายของรัฐบาล

ขณะที่ น.ส.นันทนา นันทาวโรภาส สมาชิกวุฒิสภา ลุกขึ้นกล่าวว่า พันตำรวจเอก ทวี กำลังอภิปรายถึงนโยบายที่รัฐบาลแถลงไว้ว่าจะดำเนินการให้เป็นนิติรัฐ นิติธรรม พร้อมพูดถึงว่าในกระบวนการนี้รัฐบาลจะสามารถดำเนินการได้อย่างไร ในเมื่อบุคลากรที่เกี่ยวข้อง เข้าไปพัวพันอยู่ในคดีความต่างๆ ซึ่งนายมงคล ประธานในที่ประชุม ก็เป็นหนึ่งในรายชื่อของผู้ที่ถูกกล่าวหาในคดี ฮั้ว สว. จึงจำเป็นต้องพูดเรื่องเหล่านี้ ส่วนผู้ที่มาประท้วง เข้าใจว่ามีความร้อนตัว เพราะมีชื่อพัวพันอยู่ในคดีความต่างๆ ก็ขอให้ประธานวินิจฉัยด้วยความเป็นกลาง

จังหวะนี้ มีผู้ประท้วงเพิ่ม นายมงคล จึงขอให้ น.ส.นันทนา หยุดพูด แต่ น.ส.นันทนา กล่าวว่า ยังพูดไม่จบเลย ปล่อยให้มีการประท้วงซ้อนหรือ ต้องประท้วงให้เสร็จ ขอให้วางตัวเป็นกลาง ทำให้นายมงคล ปิดไมค์

ก่อนที่ น.ส.แนน ลุกขึ้นของให้ประธาน ควบคุมการประชุม พร้อมกับย้อนว่า ท่านผู้อภิปรายก็ควรจะหยุด เพราะท่านมีชื่อให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ จากนั้น พันตำรวจเอก  ทวี ลุกขึ้นอภิปรายต่อจนจบ

สุดท้าย นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ประธานวิฝ่ายค้าน ลุกขึ้นกล่าวว่า ขอให้วางตัวเป็นกลาง ใจกว้างกันนิดนึง อย่างน้อยอภิปรายไป ท่านรัฐมนตรี หรือท่านนายฯ ก็ลุกขึ้นมาชี้แจง ถ้าเราใจกว้าง การประชุมก็จะราบรื่น

น.ส.นันทนา นันทาวโรภาส สมาชิกวุฒิสภา