
23 กันยายน 2568 ที่โรงแรมอัศวิน แกรนด์ พล.อ.ท.ประภาส สอนใจดี รองเสนาธิการทหารอากาศ และโฆษกกองทัพอากาศ พล.อ.ท.บุญเลิศ อันดารา และตัวแทนสื่อมวลชนสายทหาร ร่วมเสวนาในหัวข้อ “บทบาทสื่อมวลชนกับการสื่อสารในภาวะวิกฤตเพื่อความมั่นคง” โดย พล.อ.ท.บุญเลิศ กล่าวว่า ในประเด็นมุมมองของส่วนงานความมั่นคง ต่อสถานการณ์ที่ผ่านมาของไทย-กัมพูชา ได้เฝ้ามองข่าวว่า สถานการณ์นี้คือบททดสอบของการทำงานร่วมกัน ของทุกองค์กรภายในประเทศนี้
เพราะเรามีความสงบสุขมาอย่างยาวนาน ไม่มีภัยชายแดนเรื่องอธิปไตยในสถานการณ์ใหญ่มาเลย จึงเป็นบททดสอบของความร่วมมือของทุกภาคที่เกี่ยวข้อง กับการสร้างความมั่นคง กระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเศรษฐกิจ กระทรวงมหาดไทย และรัฐบาล แต่ที่สำคัญตนขอแบ่งออกเป็น 4 ส่วน คือ ส่วนแรกสถานการณ์หน้างาน ยังคงคุยกันอยู่ ส่วนที่ 2 รัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศ ส่วนที่ 3 สื่อมวลชน และส่วนที่ 4 สังคมโลก
สำหรับความร่วมมือของกองทัพในช่วงสถานการณ์แบบนี้ พล.อ.ท.บุญเลิศ มองว่า ถ้าพูดว่าความมั่นคงของชาติ หน่วยงานที่รับผิดชอบคือทุกหน่วยงาน บทเรียนที่ประชาชนต้องได้ คือ สื่อ และประชาชนต้องโปร่งใสในเรื่องของข้อเท็จจริงและความเร็ว ต้องมีความต่อเนื่อง และต้องทันเวลา ซึ่งต้องทันกับประเทศคู่ต่อสู้ของเรา ต้องเท่าทันกลยุทธ์ฝั่งตรงข้าม
ด้าน พล.อ.ท.ประภาส กล่าวว่า ความขัดแย้งไม่ได้เกิดขึ้นทันที รูปแบบที่เกิดไม่สามารถแก้ปัญหาด้วยกำลังทหารอย่างเดียว เพราะสามารถแก้ไขด้วยทางการเมือง ข่าวสารและทางการทหาร
ย้ำว่านักการเมืองมีความสำคัญมาก ในการกำหนดนโยบายว่า เราจะทำอย่างไร เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นความมั่นคงจะทำอย่างไร เราจะต้องให้ข้อมูลตามความเป็นจริง ที่ผ่านมากองทัพอากาศโดนภัยคุกคามทางไซเบอร์จำนวนมาก แม้แต่เพจ เว็บไซต์ต่างๆ ก็เป็นของกัมพูชา ที่พยายามเข้ามาเอาข้อมูลจากฝ่ายไทย แต่ระบบหลังบ้านสามารถสกัดไว้ได้
ขณะที่ นายสุวิทย์ มิ่งมล สื่อมวลชนสายทหาร กล่าวว่า ในยุคปัจจุบันภูมิทัศน์สื่อเปลี่ยนแปลงไป ระหว่าง คำว่า จรรยาบรรณ กับ เรทติ้ง ดราม่า บางครั้งอาจต้องหลับตาข้างหนึ่ง บางข่าวอาจมีการล้ำเส้นไปบ้าง โดยเฉพาะในสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา สื่อต้องการข้อเท็จจริงเป็นทางการและรวดเร็ว ซึ่งอยู่ที่ฝ่ายความมั่นคงจะบริหารจัดการอย่างไร ในขณะที่ภาคสนามก็ต้องรับฟังจากกองบรรณาธิการ ไม่สามารถตัดสินใจได้
พล.อ.ท.ประภาส กล่าวเสริมว่า โดยหลักการแล้ว การสื่อสารในภาวะวิกฤต ก็มีการฝึกกันอยู่แล้ว และมีการ เตรียมการ โดยเฉพาะในแง่ของความมั่นคง เตรียมการออกข้อมูลข่าวสารต่างๆ แต่เมื่อความขัดแย้งระหว่างประเทศเกิดขึ้น สิ่งที่ทุกคนต้องการเห็นคือ กระทรวงการต่างประเทศ โฆษกรัฐบาล ที่เป็นเซ็นเตอร์ดำเนินการ จึงทำให้เกิดช่องว่างขึ้น แต่ในหน่วยความมั่นคงนั้น หลังจากศูนย์บริหารเฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) และทุกกองทัพเป็นหนึ่งเดียวกัน พร้อมที่จะให้ข้อมูล
แต่ข้อมูลบางอย่างไม่เคยเกิดขึ้น เช่น ในส่วนของการบอกตำแหน่งหรือพิกัดต่างๆ และยังต้องสู้กับเฟคนิวส์ หรือข่าวปลอมจากฝ่ายตรงข้าม ซึ่งกว่าจะตั้งหลักได้ก็ใช้เวลาเหมือนกัน หรือพูดง่ายๆ ว่า คนฝึกไม่ได้มาทำจริง และคนทำจริงไม่ได้ฝึก จึงทำให้เกิดปัญหาขึ้น
นายชูชาติ แก้วเก่า สื่อมวชนสายทหาร กล่าวว่า จริงๆ แล้วความรวดเร็วในยุคนี้ ข่าวต้องเร็วและต้องแม่นยำ การทำงานของสื่อสายทหาร บางครั้งก็จะไปดูว่า เราแบ่งงานกันอย่างไร ซึ่งเมื่อมีข่าว ทุกคนช่วยกันหาข่าวจากแหล่งข่าวของตัวเอง เพื่อสอบถามข้อมูล จากนั้นก็นำมาเขียนเป็นข่าว ซึ่งทุกคนช่วยกันหมด ในภาวะวิกฤตอย่างนี้ การทำข่าวต้องมีความแม่นยำและถูกต้องที่สุด เพราะเกี่ยวข้องกับความมั่นคง และเป็นเรื่องประเทศชาติ พร้อมมองว่า 5 วันที่ต่อสู้กันในสนาม ผู้สื่อข่าวนอนน้อย ทำงานกันตลอด การนำเสนอข่าวก็จะมีตลอด รวมถึงการประสานงานกับแม่ทัพภาคที่ 2 อยู่ตลอด เพราะจะมีข่าวใหม่ๆ ขึ้นมาเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง
เช่นเดียวกับวันนี้ ที่ช่องภูผี มีการยิงกัน ซึ่งก็ต้องมีการคอนเฟิร์มจากแม่ทัพภาคที่ 2 ว่าจริงหรือไม่ ซึ่งก็ได้รับการยืนยันว่าจริง โดยทางเขมรมาก่อกวนยิงปืนขึ้นฟ้า ฝ่ายไทยจึงมีการตอบโต้จนเขมรล่าถอยไป ดังนั้นการนำเสนอข่าวที่ถูกต้องและแม่นยำ ใครที่มีแหล่งข่าวก็ต้องโทรเช็ก รอไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องของประเทศชาติ
ขณะที่ พล.อ.ท. บุญเลิศ กล่าวอีกว่า พอมีสถานการณ์เกิดขึ้น โดยทั่วไปข้อเท็จจริง ความรวดเร็ว ต้องยึดสิ่งนี้เอาไว้เป็นจรรยาบรรณ ถ้าทำสงครามข่าวสารจะยึดสิ่งนี้ไม่ได้ เพราะมีการโจมตีในเรื่องของข่าวสาร กัมพูชาต้องการส่งข่าวสารให้ทุกคนที่มีอิมแพค เช่น อินฟลูฯ ในการโพสต์ข่าวสารให้กับประชาชนที่ติดตาม จนทำให้ข่าวเท็จไปสู่นานาประเทศ ย้ำว่าถ้าผู้นำประเทศเข้าใจเหมือนกัน สื่อจะทำงานง่าย การบริหารสื่อมวลชนในประเทศต่างๆ เรายังไม่ได้เรียนรู้
นายศุภฤกษ์ ธงไชยฤทธิ์ จากสื่อออนไลน์ ระบุว่า ข้อมูลความจริงของกองทัพอากาศ เป็นข้อมูลที่ตรงกับความจริง ไม่ว่าจะเป็นการนำไข่ไปฝากคนกัมพูชา ถือเป็นภาพที่ดีที่ทางกองทัพ ได้ดำเนินนโยบายที่เป็นเอกภาพและมีรูปธรรม
ตนมองว่าประเทศชาติ ยังต้องมีกองทัพอยู่เบื้องหลังทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่ารัฐบาลจะเป็นอย่างไร แต่เราต้องมีกองทัพเป็นหลัก