svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

ถอดคำสั่งศาลฎีกาฯ ผิดทุกข้อหา! กับ 7 บทสรุป! พลิกเกมสู่ทาง 2 แพร่ง

ถอดคำสั่งศาลฎีกาฯ บังคับโทษ ปมชั้น 14 ผิดทุกข้อหา! กับ 7 บทสรุป! สู่ทางสองแพร่ง “ทักษิณ” โบยบินสู่ “หลังกำแพง”

10 กันยายน 2568 ภายหลังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำสั่งบังคับโทษจำคุกอดีตนายกรัฐมนตรี "ทักษิณ ชินวัตร" เป็นเวลา 1 ปี เมื่อวันอังคารที่ 9 กันยายนที่ผ่านมา ถือเป็นเหตุการณ์พลิกผันครั้งสำคัญสำหรับผู้ทรงอิทธิพลทางการเมือง โดยศาลฯ ตัดสินว่า การพักรักษาตัวในชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจของ "ทักษิณ" เมื่อปีที่แล้ว ไม่เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ต้องมีการบังคับโทษใหม่ ให้ส่งตัวเขาไปรับโทษจำคุกในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เป็นเวลา 1 ปี 

ถอดคำสั่งศาลฎีกาฯ ผิดทุกข้อหา! กับ 7 บทสรุป! พลิกเกมสู่ทาง 2 แพร่ง

ถอดคำสั่งศาลฎีกาฯ  กับ 7 บทสรุป ! 

1.ศาลมีอำนาจไต่สวนการบังคับโทษของจำเลย 

เหตุผล : 

  • ไม่ใช่ว่าเมื่อเรือนจำ หรือกรมราชทัณฑ์ใช้อำนาจตามกฎหมายเฉพาะแล้ว จะไม่อยู่ภายใต้การตรวจสอบโดยศาล 
  •  กรณีนี้ ความปรากฏแก่ศาลว่าอาจมีการบังคับโทษผู้ต้องขังไม่เป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุด 

2.ข้อเท็จจริงที่ปรากฏต่อศาล 

ข้อสงสัย :

  • การที่ผู้บัญชาการเรือนจำ ส่งตัวจำเลยไปรักษาตัวนอกเรือนจำ 
  • การที่อธิบดีกรมราชทัณฑ์อนุญาตให้จำเลยรักษาตัวอยู่ภายนอกเรือนจำต่อเนื่องจนได้รับการปล่อยตัว เป็นไปตาม พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ.2560 มาตรา 55 และกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องหรือไม่ รวมถึงเป็นการบังคับโทษให้เป็นไปตามหมายจำคุก ตาม ป.วิอาญา มาตรา 89 หรือไม่ 

3.การไต่สวนของศาลเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคำสั่งศาลที่ให้ยกคำร้องนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ​หรือไม่ 

  • ประเด็นไต่สวนของศาล ตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏต่อศาล เป็นคนละประเด็นกับที่นายชาญชัย ยื่นคำร้อง (สองคำร้องของนายชาญชัย คือ  1 เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ปฏิบัติโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และ 2 มีการทุเลาการบังคับโทษ ตาม ป.วิอาญา มาตรา 246 หรือไม่) 

ถอดคำสั่งศาลฎีกาฯ ผิดทุกข้อหา! กับ 7 บทสรุป! พลิกเกมสู่ทาง 2 แพร่ง  

4.มีการบังคับโทษตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดหรือไม่ 

ไล่เรียงไทม์ไลน์และข้อเท็จจริงที่ค้นพบ :  

  • 22 ส.ค.2566 เรือนจำรับตัวจำเลยไปไว้ที่ห้องกักโรค แดน 7 ซึ่งเป็นสถานพยาบาลของเรือนจำ 
  • มีแพทย์ประจำทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ (รพ.ราชทัณฑ์) ตรวจร่างกาย และสรุปประวัติการรักษาโรคจากเวชระเบียนของโรงพยาบาลต่างประเทศรวม 10 โรค
  • อาการโดยรวมคงที่ 
  • มีเพียง 3 โรคที่แพทย์ประจำทัณฑสถานฯ เห็นว่าควรได้รับการตรวจเพิ่มเติม คือ

1 โรคกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท => รพ.ราชทัณฑ์ไม่มีแพทย์เฉพาะทาง 
2 โรคหัวใจ => รพ.ราชทัณฑ์ไม่มีแพทย์เฉพาะทาง 
3 โรคไวรัสตับอักเสบบี => รพ.ราชทัณฑ์ไม่มีคลินิกโรคตับ 

  • แพทย์มีความเห็นว่าจำเป็นต้องส่งไปรักษาที่โรงพยาบาลนอกเรือนจำที่มีศุกยภาพสูงกว่า (ในวันและเวลาราชการ)
  • อยู่ในภาวะที่ไม่ใช่อาการฉุกเฉิน 
  • ข้อเท็จจริงจากพยาบาลเวร 22.00 น. วันที่ 22 ส.ค.2566 จำเลยแจ้งว่ามีอาการอ่อนเพลีย ขาขวาอ่อนแรง นอนไม่หลับ แน่นหน้าอก ความดันโลหิตสูง
  • พยาบาลเวรทำบันทึกข้อความขอส่งตัวจำเลยไปรักษานอกเรือนจำ 
  • พัศดีเวรอนุญาต 
  • ส่งโรงพยาบาลตำรวจ โดยไม่ส่งไปที่ รพ.ราชทัณฑ์ ซึ่งมีแพทย์เวรประจำ และอยู่ห่างไปเพียง 200 เมตร 
  • พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ฯ และกฎกระทรวง กำหนดว่า การส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษานอกเรือนจำ มีขั้นตอน ต้องได้รับการตรวจจากแพทย์ในสถานพยาบาลของเรือนจำก่อน เมื่อไม่ทุเลา จึงส่งตัวไปรักษานอกเรือนจำได้

สรุป 1 การส่งตัวไปโรงพยาบาลตำรวจทันที จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายและกฎกระทรวง 

  • ส่งตัวไปถึงโรงพยาบาลตำรวจ ได้พาจำเลยไปพักห้องพิเศษชั้น 14 ซึ่งไม่ใช่ห้องฉุกเฉิน หรือห้องอุบัติเหตุ 

สรุป 2 ขัดระเบียบโรงพยาบาลตำรวจ ที่กำหนดว่า การรับผู้ต้องขัง หรือนักโทษนอกเวลาราชการ ต้องให้แพทย์ห้องฉุกเฉินและอุบัติเหตุเป็นผู้ตรวจรักษา 

  • แพทย์จากแพทยสภาได้ตรวจสอบเวชระเบียบ ไม่พบว่ามีการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และไม่มีการตามแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจมาดูอาการทันที มีการเข้าตรวจจำเลยจริงๆ วันที่ 24 ส.ค.2566 หรือหลังจาก 24 ชั่วโมงไปแล้ว 
  • ผอ.โรงพยาบาลราชทัณฑ์ ยืนยันมีเครื่องมือตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ มียาขยายหลอดลม และยาลดความดันโลหิตที่ใช้รักษาจำเลยได้

ถอดคำสั่งศาลฎีกาฯ ผิดทุกข้อหา! กับ 7 บทสรุป! พลิกเกมสู่ทาง 2 แพร่ง

 

สรุป 3  อาการของจำเลยในคืนเกิดเหตุ รพ.ราชทัณฑ์รักษาได้ ไม่จำเป็นต้องส่งไปรักษานอกเรือนจำ 

สรุป 4  เชื่อว่าคืนวันที่ 22 ส.ค.2566 จำเลยไม่ได้มีอาการแน่นหน้าอก แต่ใช้เหตุนี้มาอ้างในการส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ  

  • 24 ส.ค.2566 เวชระเบียนระบุว่า อาการของจำเลยสามารถลับไปรักษาที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ได้ 
  • การรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ 24 ส.ค.2566 ถึง 18 ก.พ.2567 มีการขออนุญาตให้รักษานอกเรือนจำต่อไปเกิน 30 วัน 60 วัน และ 120 วัน อ้างเหตุต้องผ่าตัดเเร่งด่วน 

 ++ รักษาอาการสมองขาดเลือด ++
 ++ ผ่าตัดภาวะกระดูกคอเสื่อม ++

  • แต่การผ่าตัดตามที่ระบุในใบแสดงความเห็นแพทย์ เป็นการผ่าตัดนิ้วล็อก เอ็นหัวไหล่ขวาฉีกขาดจากอุบัติเหตุขณะพักโรงพยาบาลตำรวจ ส่วนกระดูกคอเสื่อม ปฏิเสธการผ่าตัด จึงไม่มีการผ่าตัดจนออกจากโรงพยาบาล 

สรุป 5 การบังคับโทษไม่ชอบด้วยกฎหมาย 

 

ถอดคำสั่งศาลฎีกาฯ ผิดทุกข้อหา! กับ 7 บทสรุป! พลิกเกมสู่ทาง 2 แพร่ง


วรรคทองชี้ชัด มัดอดีตนายกฯ

“จำเลยทราบข้อเท็จจริงหรือรับรู้เหตุการณ์ได้ว่า ตนไม่ได้ป่วยวิกฤติฉุกเฉิน มีเพียงโรคประจำตัวซึ่งเป็นโรคเรื้อรัง รักษาตัวแบบผู้ป่วยนอกได้”

“จำเลยเข้ามามีส่วนตัดสินใจในกระบวนการรักษาของแพทย์ โดยปฏิเสธการผ่าตัดรักษาโรคหัวใจ และโรคกระดูกคอกดดับไขสันหลังและเส้นประสาท เลือกผ่าตัดนิ้วล็อก และเอ็นหัวไหล่ขวา ซึ่งไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน เป็นผลให้ขยายเวลารักษาที่โรงพยาาลตำรวจออกไป จำเลยจึงได้รับประโยชน์จากการพักอยู่โรงพยาบาลตำรวจ ไม่ต้องกลับไปถูกคุมขังที่เรือนจำจนได้รับการปล่อยตัว” 

สรุป 6 ไม่อาจอ้างได้ว่าเป็นการดำเนินการของแพทย์และเจ้าหน้าที่ โดยไม่ได้เกิดจากการกระทำของจำเลย เพื่อถือเอาประโยชน์จากระยะเวลาที่พักอยูู่โรงพยาบาลตำรวจ มาหักวันคุมขังโทษตามคำพิพากษา 

สรุป 7  จำเลยได้รับพระราชทานอภัยโทษเหลือ 1 ปี จึงต้องรับโทษจำคุกตามคำพิพากษาต่อไปอีก 1 ปี นับตั้งแต่ 31 ส.ค.2566 แต่เมื่อการบังคับโทษจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมาย กระบวนการพักการลงโทษจึงไม่มีผลตามกฎหมาย ไม่อาจนำเอาระยะเวลาที่พักอยู่โรงพยาบาลตำรวจมาหักเป็นวันคุมขังได้ ต้องรับโทษจำคุกอีก 1 ปีั ตามพระะบรมราชโองการ

ถอดคำสั่งศาลฎีกาฯ ผิดทุกข้อหา! กับ 7 บทสรุป! พลิกเกมสู่ทาง 2 แพร่ง

ทางสองแพร่ง “ทักษิณ” โบยบินสู่ “หลังกำแพง” 

แพร่งที่ 1

  • กระแสตอบรับ สังคมให้โอกาส กลับออกมาลุยงานการเมืองต่อ 
  • สามารถใช้ช่องทาง “ระเบียบนอนนอกคุก” คุมขังที่บ้านได้ในจังหวะเวลาที่เหมาะสม 
  • ไม่โดน “นิติสงคราม” เพิ่มเติม 
  • อยู่ในเรือนจำจริงๆ ไม่นานนัก สามารถออกมาทันรับสถานการณ์การเมืองและการเลือกตั้ง
  • ตรึง สส.เพื่อไทยไม่ให้มี “เลือดไหลออก” เพิ่มเติม 
  • หาผู้นำใหม่ “เสริมแกร่ง” ทั้งพรรค และแคนดิเดตนายกฯ เพื่อสู้ทางการเมืองต่อไป 
  • พรรคตั้งหลักได้ ทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างหนักแน่น มีคุณภาพ 

ปลายทาง : มีโอกาสพลิกฟื้นความนิยม กลับมาเป็น “ตัวแปรทางการเมือง” ได้

แพร่งที่ 2

  • กระแสต้านยังคงอยู่ โดยเฉพาะหากทำให้สังคมรู้สึกว่าได้สิทธิพิเศษซ้ำอีก  (ได้สิทธิจาก “ระเบียบนอนนอกคุก” เร็วเกินไป) 
  • โดนนิติสงครามเพิ่มเติม ไม่หลุดบ่วง “นักร้อง” 
  • อยู่ในเรือนจำยาว ติดต่อสื่อสารทางการเมืองไม่ได้ 
  • ไม่มีศักยภาพมากพอในการดึง สส.เพื่อไทยไม่ให้แพแตก 
  • พรรคเพื่อไทยไม่ได้รับความเชื่อมั่นจาก “บุคลากรดี เด่น ดัง” เพื่อเขามากุมบังเหียนพรรคต่อ 
  • พรรคตั้งหลักไม่ได้ ยังคงเมาหมัด เล่นการเมืองเปะปะ เน้นแก้แค้น 

ปลายทาง : แนวโน้มเสี่ยงล่มสลาย เป็นพรรคต่ำ 60

ถอดคำสั่งศาลฎีกาฯ ผิดทุกข้อหา! กับ 7 บทสรุป! พลิกเกมสู่ทาง 2 แพร่ง