
8 กันยายน 2568 สืบเนื่องจากข้อตกลงระหว่าง พรรคประชาชน และพรรคภูมิใจไทย ในการทำข้อตกลงร่วมกันในการผลักดันรัฐบาลเสียงข้างน้อย เพื่อให้จัดตั้งรัฐบาลอนุทินให้ได้นั้น ต่อมา สส.พรรคเพื่อไทย ได้ยื่นคำร้องพร้อมรายชื่อสมาชิกไปยังประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อวินิจฉัยสมาชิกภาพของนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชนนั้น
ล่าสุด “ดร.ณัฏฐ์” หรือ ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม นักกฎหมายมหาชน ได้ให้ความเห็นเพื่อประโยชน์สาธารณะและกล่าวว่า ข้อตกลงแลกโหวตที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ในแง่กฎหมาย ถือเป็นนิติกรรมสองฝ่าย โดยทั้งสองฝ่ายได้ลงนามในฐานะหัวหน้าพรรคการเมือง ย่อมมีผลผูกพันทางกฎหมาย ไม่ว่าจะเรียกว่า “MOU” หรือ “MOA” เพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมายหรือไม่ก็ตาม
โดยหลักกฎหมายมหาชน หากไม่ได้บัญญัติไว้ ย่อมไม่อาจกระทำได้ แตกต่างจากหลักกฎหมายเอกชน ตรงกันข้าม หากกฎหมายไม่ได้บัญญัติห้ามไว้ ข้อยกเว้นนั้น คู่สัญญาย่อมทำได้
ข้อตกลงในการผลักดันแลกโหวต เป็นเรื่องรัฐธรรมนูญ และกฎหมายพรรคการเมือง เป็นหลัก
ซึ่งจะอ้างเป็นศรีธนญชัย ว่า “ไม่มีกฎหมายห้ามไว้” โดยอ้างว่า เป็นเพียง “ทฤษฎีสัญญาประชาคม” เพื่อให้อีกฝ่ายผูกพันทางการเมืองในแง่เชิงภูมิรัฐศาสตร์ ย่อมกล่าวอ้างไม่ได้
เพราะข้อตกลง ถือเป็นสัญญาประเภทหนึ่ง ย่อมมีผลผูกพันในแง่กฎหมาย เมื่อคู่กรณีได้ตกลงและลงนามแล้ว
ซึ่งในกฎหมายพรรคการเมือง ถือเป็น การที่พรรคการเมืองยินยอมให้บุคคลใดหรือพรรคการเมืองใดครอบงำ แทรกแซง ทำให้ขาดความอิสระ ในช่วงระยะเวลาใด เวลาหนึ่ง ย่อมขัดต่อ มาตรา 28 แห่ง พรป.พรรคการเมือง เข้าหลักเกณฑ์ในการยุบพรรคการเมือง ตามมาตรา 92 ได้
เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะกติกาสูงสุดของประเทศ คือ รัฐธรรมนูญ ได้บัญญัติไว้ในมาตรา 114 เป็นข้อห้ามเด็ดขาด “สส. ย่อมเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย.....ไม่อยู่ภายในความผูกมัดแห่งอาณัติมอบหมาย หรือความครอบงำใดๆ และต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติและความผาสุกของประชาชนโดยรวม โดยปราศจากการขัดกันแห่งผลประโยชน์”
ตนชำแหละ “จุดตาย” ข้อตกลงแลกโหวต ระหว่างพรรคประชาชน และพรรคภูมิใจไทย เป็นอีกแง่มุมหนึ่ง สำหรับให้ความรู้ด้านกฎหมายมหาชน สำหรับประชาชนผู้ใฝ่สนใจทางการเมือง คอการเมือง และประชาชนทั่วไป
ข้อตกลงแลกโหวต ในข้อ 1 ที่ระบุว่า “นายกรัฐมนตรีคนใหม่จะต้องยุบสภาภายใน 4 เดือนนับแต่แถลงนโยบายต่อสภาเพื่อจัดตั้งให้มีการเลือกตั้ง สส.เป็นการทั่วไป” ถือเป็นข้อตกลงต่างตอบแทน ระหว่างพรรคประชาชนกับพรรคภูมิใจไทย ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย “เป็นการได้ประโยชน์จากการรวมเสียงข้างมาก” ตาม รธน. มาตรา 159 วรรคสาม
แม้ไม่มีบทบัญญัติใดห้ามไว้ แต่ในหลักกฎหมายมหาชน เมื่อไม่มีกฎหมายบัญญัติห้ามไว้ ย่อมไม่อาจกระทำได้ เพราะการแลกโหวต เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ของแต่ละพรรคการเมือง ย่อมเป็นการฝ่าฝืนและทับซ้อนผลประโยชน์ส่วนตัว กับผลประโยชน์สาธารณะ ย่อมขัดรัฐธรรมนูญในส่วนบทบัญญัติว่าด้วยการขัดกันในผลประโยชน์ มาตรา 185 (1) (2) เป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตาม รธน. มาตรา 219 ประกอบข้อกำหนดมาตรฐานจริยธรรม ปี 2561 ข้อ 7 ข้อ 8 และข้อ 27
โดยระบบรัฐสภาไทย แยกอำนาจ ระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติกับฝ่ายบริหาร เพื่อตรวจสอบถ่วงดุลและมีอิสระซึ่งกันและกัน แต่ข้อตกลงแลกโหวต เป็นการให้ได้มาซึ่งอำนาจฝ่ายบริหาร โดยอยู่ภายใต้ความผูกมัดแห่งอาณัติมอบหมาย หรือความครอบงำใดๆ ของบุคคลหรือพรรคการเมืองใด เป็นการฝ่าฝืน รธน. มาตรา 114 ประกอบมาตรา 185 (1) (2) ในแง่ทางการเมืองทำให้พรรคการเมืองอ่อนแอ เป็นการครอบงำ แทรกแซงในการบริหารกิจการของอีกพรรคการเมืองหนึ่ง ตาม พรป.พรรคการเมือง มาตรา 28 เป็นเงื่อนไขนำไปสู่การยุบพรรคการเมืองทั้งสอง ตามมาตรา 92
นอกจากนี้ เงื่อนไขที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ให้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ยุบสภา ภายใน 4 เดือนนับแต่แถลงนโยบาย ย่อมขัดต่อ “หลักแบ่งแยกอำนาจในระบบรัฐสภา” และ “หลักใช้อำนาจฝ่ายบริหาร” ซึ่ง รธน. มาตรา 103 วรรคหนึ่ง นายกรัฐมนตรีจะเสนอทูลเกล้าฯ พรฎ.ยุบสภา เมื่อใดก็ได้ หากมีเหตุผลในการยุบสภา เพื่อประโยชน์ในการบริหารราชการแผ่นดิน ตาม รธน. มาตรา 165 โดยมิใช่เกิดจากข้อผูกมัดแลกโหวตหรือภายใต้ข้อตกลงใดๆแลกโหวตจากพรรคการเมืองใดๆ
เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะเงื่อนไขในการแลกโหวต เป็นการได้มาซึ่งอำนาจฝ่ายบริหารจัดตั้งรัฐบาลไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ เข้าข่ายเป็นการใช้สิทธิ หรือเสรีภาพในการล้มล้างการปกครองฯ ตาม รธน. มาตรา 49
บุคคลใดเห็นการกระทำ ย่อมยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุด ให้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญสั่งวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทำได้ ตาม รธน. มาตรา 49 วรรคสอง
ส่วนจุดตายข้อความแลกโหวต ปรากฏใน ข้อ 4 ที่ว่า “เพื่อสร้างหลักประกันนายกรัฐมนตรีคนใหม่จะยุบสภาภายใน 4 เดือนจริง พรรคภูมิใจไทย ต้องไม่ดำเนินการโดยวิธีการใดๆ เพื่อทำให้เป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก”
ถือเป็นเงื่อนไขบังคับก่อน โดยข้อแลกโหวต เป็นกรณีที่นายอนุทินฯ ได้กระทำในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย โดยยินยอมอยู่ภายใต้การกำกับ ควบคุมของ นายณัฐพงษ์ฯ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาชนและพรรคประชาชน ฝ่าฝืน พรป.พรรคการเมือง มาตรา 21 เพราะ ข้อตกลงย่อมขัดต่อรัฐธรรมนูญและ พรป.พรรคการเมือง ทำให้เกิดความครอบงำ ที่บัญญัติให้การจัดตั้งรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตย ต้องเป็นไปตามเจตจำนงของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรโดยเสียงข้างมาก ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 159 วรรคสาม
โดยพรรคการเมือง ต้องมีสิทธิหรือเสรีภาพ ในการดำเนินกิจกรรมของพรรคการเมือง ข้อตกลงโดยวิธีลักษณะข้อจำกัด ไม่ให้พรรคภูมิใจไทย “ไม่กระทำการใดเพิ่มเติมเสียงข้างมากในภายหลัง” ถือว่า เป็นการยินยอมให้ สส.หรือพรรคภูมิใจไทย หรือรัฐบาลผสม ล่วงหน้า ให้อยู่ภายในความผูกมัดแห่งอาณัติมอบหมาย หรือความครอบงำใดๆ ของนายณัฐพงษ์ฯ และพรรคประชาชน
อันเป็นการแทรกแซงเพื่อผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม โดยนายอนุทินฯ ยินยอมให้บุคคลอื่นใช้อำนาจในตำแหน่ง เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้สำหรับตนเองหรือผู้อื่น อันเป็นการฝ่าฝืน รธน. มาตรา 114 ประกอบมาตรา 186 (1) (2) ถือเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตาม รธน. มาตรา 219 ประกอบข้อกำหนดมาตรฐานจริยธรรม ปี 2561 ข้อ 7 ข้อ 8 และข้อ 27 ข้อความในข้อตกลง เข้าลักษณะการใช้สิทธิหรือเสรีภาพล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยฯ ตาม รธน. มาตรา 49 อีกประการหนึ่งด้วย