
สืบเนื่องกระแสข่าวว่าพรรคเพื่อไทยแก้เกมการแย่งชิงจัดตั้งรัฐบาลแข่งกับพรรคภูมิใจไทย มีการปล่อยกระแสยุบสภา จึงเกิดปัญหาว่า ครม.เดิมรักษาการจนกว่าจะมี ครม.ชุดใหม่ มีอำนาจยุบสภาหรือไม่ และกระบวนการแย่งชิงจัดตั้งรัฐบาลเป็นเหตุให้ยุบสภาได้หรือไม่ นั้น
3 กันยายน 2568 ล่าสุด “ดร.ณัฏฐ์” หรือ ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม นักกฎหมายมหาชนคนดัง ได้ให้ความเห็นเพื่อประโยชน์สาธารณะและกล่าวว่า
โดยหลักแล้ว พรฎ.อยู่ในอำนาจตรวจสอบโดยศาลปกครอง ยกเว้น “พรฏ.ยุบสภา” เนื่องจาก พรฏ.ที่ตราขึ้นโดยอาศัยอำนาจรัฐธรรมนูญ และเป็นกฎหมายเฉพาะที่มีลักษณะพิเศษ ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญ
มิใช่ พรฎ.ที่ตราขึ้นโดยอาศัยพระราชบัญญัติ หรือกฎหมายที่มีฐานะเทียบเท่าพระราชบัญญัติ โดยศาลรัฐธรรมนูญ เคยวินิจฉัยไว้เป็นบรรทัดฐานตามคำวินิจฉัยที่ 5/2557 อำนาจตรวจสอบความชอบพระราชกฤษฎีกายุบสภาเป็นอำนาจของ “ศาลรัฐธรรมนูญ”
“ดร.ณัฏฐ์” หรือ ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม นักกฎหมายมหาชน
พูดภาษาชาวบ้าน คือ พรฎ.ทุกประเภทออกโดยฝ่ายบริหาร ถือว่า มีสถานะเป็น “กฎ” ตามความในมาตรา 5 แห่ง พรบ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 โดยหลัก อำนาจตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของ “กฎ” เป็นอำนาจของศาลปกครอง
เพราะเป็นกฎหมายในลำดับศักดิ์ที่ต่ำกว่าพระราชบัญญัติ มีข้อยกเว้น พรฎ. ยุบสภา เพราะออกโดยอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญ องค์กรตุลาการที่ตรวจสอบความชอบด้วย พรฎ. ยุบสภา เป็นอำนาจเฉพาะของ “ศาลรัฐธรรมนูญ”
โดยหลักกฎหมายมหาชน หากไม่มีกฎหมายบัญญัติให้มีอำนาจไว้ ย่อมไม่สามารถกระทำได้ทั้งสิ้น ตรงกันข้ามกับกฎหมายเอกชน หากไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้ ย่อมสามารถกระทำได้
อำนาจ “ยุบสภา”เป็นเครื่องมือและกลไก ตามรัฐธรรมนูญในระบบรัฐสภา เป็น “พระราชอำนาจ”ของพระมหากษัตริย์ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 103 วรรคหนึ่ง โดยการตรากฎหมายในระดับ “พระราชกฤษฎีกา” เป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรีหัวหน้าฝ่ายบริหารเท่านั้น
ก่อนยื่นทูลเกล้าฯ ต้องมีกฎหมายให้อำนาจ และต้องเข้าเงื่อนไข เหตุแห่งการยุบสภา ในแง่ทางการเมืองส่วนใหญ่ นายกรัฐมนตรี ทำเป็นความลับ
พูดภาษาชาวบ้าน คือ ระบบรัฐสภาของไทย กระบวนการตัดสินใจยุบสภาหรือไม่ เป็นดุลพินิจของนายกรัฐมนตรี แต่การยุบสภา เสนอเป็นกฎหมายเป็น “พรฎ.ยุบสภา” แต่จะยุบสภาได้หรือไม่ เป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์โดยตรง
ต้องมีเหตุตามกฎหมายรองรับ และจะต้องไม่ขัดต่อกฎหมาย พระมหากษัตริย์พระองค์ท่าน ทรงใช้อำนาจอธิปไตยผ่านคณะรัฐมนตรี รธน.มาตรา 3 วรรคหนึ่ง พระองค์มีพระราชอำนาจลงพระนามหรือยับยั้งก็ได้ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 175 มาตรา 103 วรรคหนึ่ง
หากพระองค์ท่านทรงพระราชอำนาจยับยั้ง จะใช้หลักเกณฑ์ ตาม รธน.มาตรา 175 ว่า กระบวนการออก พรฎ.ยุบสภา ขัดต่อกฎหมายหรือไม่ ซึ่งมาจากสารตั้งต้น รัฐธรรมนูญให้อำนาจ ครม.เดิมรักษาการ มีอำนาจยุบสภาหรือไม่ และมีเหตุเงื่อนไขในการยุบสภาหรือไม่
ให้เทียบเคียงกับ พระบรมราชโองการฯโปรดเกล้านายสราวุธ ทรงศิวิไล ตุลาการการศาลรัฐธรรมนูญคนใหม่ ฉบับล่าสุดที่พระองค์ท่านโปรดเกล้าฯใหม่ เพื่อป้องกันการตีความขัดรัฐธรรมนูญ ในคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญในคดีนางสาวแพทองธารฯ เพื่อป้องกันปัญหาความสงบของบ้านเมือง
“เหตุยุบสภา” มีหลายตัวแปร เช่น ความขัดแย้งระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติ ความขัดแย้งระหว่าง สว. กับ สส. ในการพิจารณากฎหมายสำคัญ หรือเกิดปัญหาในการบริหารประเทศอย่างร้ายแรงจนสภาไม่อาจทำงานต่อไปได้ หรือประชาชนเรียกร้องให้ยุบสภา หรือไม่อาจตั้งรัฐบาลได้ เป็นต้น
แต่ปัญหาไม่อาจตั้งรัฐบาลใหม่ได้ จะต้องได้ความว่า มีความพยายามจัดตั้งรัฐบาลหลายครั้งแล้ว แต่ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ ถึงจะเข้าเงื่อนไขและเหตุในการยุบสภาได้
แต่เกมจัดตั้งรัฐบาล โดยอยู่ระหว่าง เกมการแย่งชิงอำนาจจัดตั้งรัฐบาลยังไม่เป็นที่ยุติ ยังไม่เข้าเงื่อนไขเหตุในการยุบสภา
ส่วนจะมี “อำนาจยุบสภา” ได้หรือไม่ ต้องพิจารณาก่อนว่า “รัฐธรรมนูญให้อำนาจไว้หรือไม่” มีกฎหมายรองรับหรือไม่ ตรงนี้ เป็นข้อสำคัญ เพราะหากไม่มีอำนาจและไม่มีกฎหมายรองรับ การทูลเกล้าฯไป จะเกิดปัญหากับตัวผู้เสนอทันที เพราะ เครื่องมือและกลไกในการยุบสภา อำนาจและเงื่อนไขในการยุบสภา ต้องยึดหลัก “นิติรัฐ” และ “นิติธรรม”
ข้อเท็จจริง ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พ้นจากตำแหน่ง ผลทางกฎหมาย ทำให้ ครม.พ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ โดยรัฐธรรมนูญ มาตรา 168(1) ประกอบมาตรา 161 วรรคสอง ได้เปิดช่องให้ ครม.เดิม รักษาการ ต่อไปได้ จนกว่าจะมี “ครม.ชุดใหม่” ส่วนกรณีนางสาวแพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พ้นจากตำแหน่งเพราะขาดคุณสมบัติตาม รธน.มาตรา 160 จะรักษาการนายกรัฐมนตรีต่อไปไม่ได้ ตาม รธน. มาตรา 168(1)
หมายความว่า ครม.เดิม รักษาการ ยังมีอำนาจในการปฏิบัติราชการชั่วคราวต่อไปได้ เพื่อป้องกันสูญญากาศทางการเมือง เจตนารมณ์รัฐธรรมนูญเพื่อต้องการให้ปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว จนกว่าจะมี ครม.ชุดใหม่ รัฐธรรมนูญไม่ได้เปิดช่องให้ใช้อำนาจยุบสภา เหมือนรัฐบาลปกติทั่วไปที่มีนายกรัฐมนตรีตัวจริง
พูดภาษาชาวบ้าน คือ การปฏิบัติราชการชั่วคราว เป็นการทำหน้าที่ชั่วคราวในช่วงเวลาใด เวลาหนึ่งเท่านั้น แม้มีอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดิน แต่กฎหมายไม่เปิดช่องให้นายภูมิธรรมฯรักษาการนายกรัฐมนตรี มีอำนาจยุบสภา โดยรัฐธรรมนูญไม่ได้บัญญัติให้อำนาจไว้ จึงไม่มีอำนาจกระทำได้
รัฐธรรมนูญ มาตรา 168 (1) ให้ ครม.รักษาการต่อไป มีอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดินตาม พรบ.ระเบียบการบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 หมายความถึง ทำหน้าที่ชั่วคราว ปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว จนกว่าจะมี ครม.ชุดใหม่เข้าทำหน้าที่ รัฐธรรมนูญและ พรบ.ระเบียบการบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 ไม่ได้เปิดช่องให้ยุบสภาได้
พูดภาษาชาวบ้าน คือ ครม. ทำหน้าที่ชั่วคราว ปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว ไม่อาจยุบสภาได้อำนาจในการยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ หากเห็นว่า พรฎ.ยุบสภา ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ กฎหมายไม่ได้เปิดช่องให้ประชาชนยื่นคำร้องโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญได้
โดยต้องอาศัยอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติ (สส. หรือ สว.) ในการยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้ตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายว่า พระราชกฤษฎีกายุบสภากระบวนการตรากฎหมายมีอำนาจหรือไม่ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่