
23 สิงหาคม 2568 นายรัศม์ ชาลีจันทร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวกับสื่อมวลชนไทยภาคภาษาอังกฤษ เพื่อชี้แจงการดำเนินการของรัฐบาลไทยให้ประชาคมโลกรับทราบ โดยเฉพาะการประท้วงของรัฐบาล กระทรวงการต่างประเทศ และกองทัพต่อการวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลของกัมพูชา ที่ละเมิดอำนาจอธิปไตยไทย ละเมิดอนุสัญญาออตตาวา รวมทั้งละเมิดข้อตกลงการหยุดยิง ตลอดจนกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ
ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศ ได้นำคณะทูตานุทูต ลงพื้นที่ 2 ครั้ง เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริง และหลักฐานเชิงประจักษ์ต่อการกระทำของกัมพูชาแล้ว และพยายามชี้ให้เห็นถึงการละเมิดมนุษยธรรม ที่ไม่ใช่เพียงเรื่องความมั่นคง หรือเรื่องทางทหารระหว่างไทย-กัมพูชา แต่เป็นภัยมนุษยชาติโดยรวมที่ต้องร่วมมือกันแก้ไขปัญหานี้ โดยล่าสุดมีรายงานว่าฝ่ายกัมพูชาได้แสดงท่าทีผ่อนปรนมากขึ้นที่จะร่วมมือในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด แม้ยังคงปฏิเสธว่ากัมพูชาไม่ได้วางทุ่นระเบิดใหม่ แต่จะสำรวจร่วมกับประเทศไทย เพื่อกำหนดพื้นที่เร่งด่วนตามแนวชายแดน ที่ควรทำการเก็บกู้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล
ส่วนความคิดริเริ่มเรื่องคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (Interim Observer Team) หรือ IOT และข้อเสนอคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (ASEAN Observer Team) หรือ AOT นั้น ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ ยืนยันว่า ประเทศไทยยินดีกับทั้ง 2 ข้อเสนอ แต่ก็เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจข้อแตกต่างสำคัญระหว่างรูปแบบทั้งสองดังกล่าว เพราะ IOT นั้น คณะผู้สังเกตการณ์ จะประกอบด้วยผู้ช่วยทูตทหารจากรัฐสมาชิกอาเซียนที่ประจำการอยู่ในประเทศไทยและกัมพูชาที่ประจำการอยู่แล้ว ทำให้สามารถลงพื้นที่และปฏิบัติการภารกิจการสังเกตการณ์ได้อย่างรวดเร็วทันที
ส่วน AOT จะต้องมีการส่งผู้สังเกตการณ์ ตลอดจนเจ้าหน้าที่ทหารมาจากเมืองหลวงของประเทศสมาชิกเข้ามาดำเนินการ ซึ่งภายใต้กฎหมายไทย กระบวนการดังกล่าวจะต้องมีการพิจารณาตามขั้นตอนต่างๆ ที่กฎหมายระบุไว้ก่อน ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความล่าช้าในการลงพื้นที่ออกไป
ทั้งนี้ ในหลักการประเทศไทยสนับสนุนแนวคิดทั้งเรื่อง IOT และ AOT แต่จำเป็นต้องมีการหารือกันอย่างรอบคอบถึงเรื่องการกำหนดรูปแบบและขอบเขตการดำเนินงานร่วมกันให้มีความชัดเจนก่อน และที่สำคัญเพื่อให้เป็นกลไกที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้รวดเร็วทันที ที่จะตอบสนองต่อภารกิจที่ได้มีการตกลงกันไว้ตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพ
และ IOT ยังสามารถปรับเพิ่มอีก โดยหากจะมีการปรับปรุงในเรื่องของ IOT ก็ควรนำไปหารือในกลไก GBC เพราะ IOT เป็นข้อตกลงระหว่าง 2 ประเทศที่เป็นรูปธรรมไปแล้ว โดยมีมาเลเซียเป็นประจักษ์พยาน หากจะเปลี่ยนแปลงใดใด ที่ประชุม GBC ของทั้งสองประเทศต้องเป็นคนอนุมัติ
"While Thailand welcomes the initiative on the the Interim Observer Team (IOT) and the proposed ASEAN Observer Team (AOT), it is important to understand the key differences between the two.
For the IOT, the observer team is composed of defense attachés from ASEAN Member States already based in Thailand and Cambodia, enabling quicker deployment and operation of their observer mission.
By contrast, the AOT would require participating countries to dispatch military observers from their respective capitals. Such a process would involve additional domestic legal and administrative procedures under Thai law, which could slow down deployment. Thailand is fully supportive of the AOT in principle, but is mindful of such constraints, and the need for a timely mechanism that can function without delay.
In this context, Thailand believes that the IOT structure remains the most practical arrangement in ensuring that observer functions proceed without delay, while discussions on the AOT move forward. We remain ready to facilitate and support both arrangements in a manner that ensures timeliness, efficiency, and ASEAN’s unity of purpose." Russ Jalichandra, Vice Minister of Foreign Affairs
อย่างไรก็ตาม แม้ประเทศไทยจะยินดีต้อนรับข้อริเริ่มในการจัดตั้งคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (Interim Observer Team – IOT) และคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (ASEAN Observer Team – AOT) แต่ก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างสองกลไกนี้
สำหรับ IOT คณะผู้สังเกตการณ์จะประกอบด้วยทูตฝ่ายทหารจากประเทศสมาชิกอาเซียนที่ประจำอยู่แล้วในประเทศไทยและกัมพูชา ทำให้สามารถจัดกำลังลงพื้นที่และปฏิบัติภารกิจได้อย่างรวดเร็ว
ในทางตรงกันข้าม AOT จะต้องให้แต่ละประเทศจัดส่งผู้สังเกตการณ์ทางทหารจากเมืองหลวงของตน ซึ่งกระบวนการนี้จำเป็นต้องผ่านขั้นตอนทางกฎหมายและการบริหารภายในประเทศ ตามกฎหมายไทย ซึ่งอาจทำให้การจัดกำลังล่าช้าได้ ดังนั้น แม้ไทยจะสนับสนุน AOT ในหลักการ แต่ก็ต้องคำนึงถึงข้อจำกัดดังกล่าว และความจำเป็นที่จะต้องมีกลไกที่สามารถปฏิบัติได้โดยไม่ล่าช้า
ในบริบทนี้ ไทยเห็นว่าโครงสร้างของ IOT เป็นรูปแบบที่ปฏิบัติได้จริงมากที่สุด เพื่อให้การทำหน้าที่ผู้สังเกตการณ์ดำเนินไปได้โดยไม่เกิดความล่าช้า ขณะที่การหารือเกี่ยวกับ AOT ยังคงดำเนินต่อไป ไทยพร้อมที่จะอำนวยความสะดวกและสนับสนุนทั้งสองกลไกนี้ โดยให้มั่นใจว่าจะมีความทันท่วงที มีประสิทธิภาพ และคงไว้ซึ่งเอกภาพของอาเซียน
“เพราะเป็นการตอบโต้อันวาร์ ผู้นำมาเลย์ที่กดดันไทย จุดยืนที่พูดคุยสื่อสารผ่านสื่อต่างประเทศและองค์กรระหว่างประเทศ ในเวทีพบปะเมื่อเย็นวาน”