
19 สิงหาคม 2568 รศ.ดร.ฐิติวุฒิ บุญยวงศ์วิวัชร จากคณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวถึงสถานการณ์ระหว่างไทยและกัมพูชา ในประเด็นคำถามในหัวใจของคนไทยทั้งประเทศ ที่คนไทยอยากรู้คำตอบ โดยเฉพาะในมิติสงครามข่าวสาร เกิดอะไรขึ้นกับกรณี ไมเคิล อัลฟาโร ล็อบบี้ยิสต์ที่ไลฟ์สดโจมตีไทย รวมถึง พลโทมาลี โสเจียตา ทั้งๆ ที่กัมพูชาโกหก ปั้นน้ำเป็นตัว ปล่อยเฟคนิวส์ ฟ้องชาวโลกด้วยข้อมูลเท็จไปเรื่อยๆ ส่วนไทยมีข้อมูลจริงเต็มกระเป๋า แต่ทำไมดูเหมือนต่างชาติไม่ได้เชื่อไทย โดย รศ.ดร.ฐิติวุฒิ ระบุว่า
ตอบ - รัฐบาลและศูนย์เฉพาะกิจปรับยุทธศาสตร์การสื่อสารเชิงรุก เพื่อรับมือกับบริษัทล็อบบี้ยิสต์ที่ใช้สงครามข่าวสารเป็นเครื่องมือแสวงหาผลประโยชน์ โดยชี้ชัดว่า การเปิดโปงเบื้องหลังเชิงลึกของเครือข่าย ล็อบบี้ยิสต์จะต้องดำเนินการควบคู่กับการสร้างทางเลือกเชิงข้อมูล ที่สื่อต่างประเทศสามารถยอมรับและเผยแพร่ต่อได้
ประเด็นสำคัญคือ การสร้างพันธมิตรกับสื่อมวลชนระดับนานาชาติ โดยเฉพาะสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศในประเทศไทย (Foreign Correspondents’ Club of Thailand: FCCT) และเครือข่ายนักข่าวสากลอื่น ๆ เพื่อให้ข้อเท็จจริงที่เปิดเผยออกไปไม่ถูกปิดกั้น และสามารถสร้างแรงกดดันในระดับโลกต่อบริษัทล็อบบี้ยิสต์และผู้มีอิทธิพลที่เกี่ยวข้อง
เน้นการเปิดโปงที่โปร่งใส, การสร้างเรื่องเล่าที่เชื่อมโยงกับคุณค่าสากล เช่น ความยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน, และการสื่อสารเชิงรุก ที่เข้าถึงสื่อต่างประเทศโดยตรง เพื่อให้ความจริงในสถานการณ์ชายแดนถูกนำเสนอในเวทีสื่อโลก
ข้อสังเกตุสำคัญคือ การต่อสู้ในสมรภูมิข่าวสาร ไม่สามารถจำกัดอยู่ในระดับประเทศได้อีกต่อไป หากแต่ต้องทำให้ข้อมูลที่ถูกต้องและโปร่งใส ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง
ตอบ - ในกรณีที่องค์กรระหว่างประเทศได้รับข้อมูลสองด้านที่ตรงข้ามกัน หน่วยงานฝ่ายไทยจำเป็นต้องแสดง เอกภาพในการสื่อสารและการดำเนินงานเชิงรุก โดยมีศูนย์กลางข้อมูลร่วมที่ทุกหน่วยงานใช้เป็นทิศทางเดียวกัน พร้อมกันนี้ไทยต้องจัดเตรียมหลักฐานเชิงประจักษ์ เช่น ภาพถ่ายดาวเทียม รายงานวิชาการ หรือการตรวจสอบภาคสนาม เพื่อส่งต่อให้องค์กรระหว่างประเทศและสื่อมวลชนต่างชาติอย่างทันท่วงที
ขณะเดียวกัน ไทยควรตรวจสอบและประสานพันธมิตร ทั้งในระดับอาเซียนและองค์กรนานาชาติ เพื่อให้มั่นใจว่า เสียงสนับสนุนที่ได้รับมีความจริงใจ และสอดคล้องกับจุดยืนของไทย การดำเนินการเช่นนี้จะทำให้ข้อมูลของฝ่ายไทยมีน้ำหนัก โปร่งใส และได้รับการยอมรับในเวทีโลกมากกว่าข้อมูลบิดเบือนจากอีกฝ่าย (การหยั่งเชิงพันธมิตรแท้ในช่วงนี้สำคัญมาก)
ตอบ - การสร้างรั้วชายแดนมิใช่เพียงมาตรการเชิงป้องกัน แต่ยังสามารถใช้เป็นเครื่องมือเชิงรุกทางยุทธศาสตร์ได้ด้วย รั้วคือการกำหนดเส้นอำนาจรัฐอย่างชัดเจน ทำให้การเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายถูกจำกัด และต้องเข้าสู่ “จุดควบคุม” ที่รัฐออกแบบไว้ ส่งผลให้ไทยได้เปรียบทั้งในมิติทางกฎหมาย ความมั่นคง และการทูตไปพร้อมกัน
ข้อดีสำคัญของรั้วชายแดนคือ มันช่วยบังคับทิศทางการเจรจา เพราะการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ว่า รัฐมีความจริงจังต่ออธิปไตย ทำให้รั้วไม่เพียงแต่ปิดกั้นการลักลอบ แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณกดดันให้อีกฝ่ายต้องทบทวนท่าที ลดการเคลื่อนไหว และยอมเข้าสู่กลไกความร่วมมือที่ไทยมีอำนาจต่อรองสูงกว่า
เมื่อมองในเชิงรุก รั้วชายแดนยังสามารถใช้เป็นเงื่อนไขในการต่อรอง ทั้งในการเจรจาพื้นที่ชายแดน การจัดการอาชญากรรมข้ามชาติ และการสร้างความมั่นคงของชุมชนชายแดน หากรัฐใช้รั้วในฐานะ “เครื่องหมายของยืนยัน” อย่างชัดเจน รั้วก็จะกลายเป็นกลไกสำคัญที่เพิ่มน้ำหนัก และพลังในการต่อรองของไทยในทุกเวทีเจรจา
ตอบ - การจัดมวลชนในลักษณะนี้จะชัดเจนว่า มีผู้สนับสนุนและมีเป้าประสงค์ข้ามพรมแดนอย่างชัดเจน ในแง่ประเทศไทยคิดว่า เราไม่จำเป็นจะต้องไปเต้นตามข้อเรียกร้องของม็อบข้ามชาติ เพราะในประเด็นนี้ เป็นเรื่องของเส้นเขตแดนและอำนาจอธิปไตย สิ่งที่เราทำได้คือยืนยันสถานการณ์ครองพื้นที่ไว้ แต่ในแง่ของการรักษาภาพลักษณ์ไม่ให้มีการกระทบกระทั่งกับม็อบ ประเด็นนี้เราต้องระมัดระวัง
แต่ข้อสังเกตที่น่าสนใจคือม็อบอาจจะดูเหมือนหวือหวา หรือสร้างแรงกดดันในระยะแรกเท่านั้น แต่ถ้าเรารักษาทรงได้ แรงกดดันที่เกิดจากม็อบจะกลายเป็นแรงสะท้อนไปยังรัฐบาลของกัมพูชา ในระยะยาวเอง
อีกประเด็นหนึ่ง ที่น่าสนใจคือกรณีของม็อบ อาจจะมีการพัฒนาสร้างม็อบ เพื่อต้อนรับสื่อมวลชนหรือผู้สังเกตการณ์ข้ามชาติ ในประเด็นนี้เราต้องเก็บข้อมูลแรงเคลื่อนไหวของม็อบ หรือประเด็นที่เค้าคุยกับสื่อต่างชาติ หรือผู้สังเกตการณ์ แล้วใช้ประเด็นนี้มาแก้ไขในที่เป็นทางการและตอบโต้ด้วยข้อเท็จจริง