
เดือนสิงหาคม-กันยายนปีนี้ นับว่าเเรงร้อนยิ่งกับคดีการเมืองจำนวนมากที่ใครหลายยคนต้องขีดวงเเดงบนปฏิทินไว้เลยทีเดียวว่าจะตัดสิน ชี้มูลวันใดบ้าง เพราะเเต่ละคดีนั้นพันผูกกับอีกคดีหนึ่งทั้งทางตรงเเละทางอ้อมบนถนนการเมืองเเบบปฏิเสธไม่ได้
”พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน“ อดีตรองประธานสภาผู้เเทนราษฎรเเละอดีตสส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย เป็น “นักการเมือง” คนแรก ที่โดนฤทธิ์ของระเบิดเวลามาตรา 144 เเห่ง “รัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง”เช็กบิลเมื่อวันที่1สิงหาคมที่ผ่านมา
กรณีเป็นผู้ให้ความเห็นชอบการจัดทำโครงการและให้มีการเสนองบประมาณของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 3 โครงการ โดยศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า”พิเชษฐ์“ในฐานะผู้ถูกร้องมีความผิดตามมาตรา144เเห่งกติกาหลักของประเทศ เพราะเป็นผู้มีส่วนโดยทางตรงและทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568...
เเปลความง่ายๆ มาตรานี้นับเป็นระเบิดเวลาที่อานุภาพเเรงยิ่ง เพราะอายุความยี่สิบปี-หากวินิจฉัยว่า“ผิด ”จะถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งสิบปีเเละตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีพ(ห้ามลงสมัคร/รับตำเเหน่งทางการเมือง)
ฉะนั้น ระเบิดเวลาลูกที่สอง ซึ่ง
“ครม.เศรษฐา ทวีสินเเละเเพทองธาร ชินวัตร” รวมทั้ง สส. 309 คน และ สว. 175 คน ต้องลุ้นกับ มติคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)ที่น่าจะคลอดเร็วๆนี้ว่าจะ "ร่วง/รอด"
จากกรณีที่ชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต สส.นครนายก พรรคประชาธิปัตย์ และคณะ ยื่นคําร้องและหลักฐาน ต่อป.ป.ช.โดยอ้างว่ามีการตรวจพบการกระทําที่อาจเข้าข่ายฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ 2560 และ ป.ป.ช.รับเรื่องไว้พิจารณา
ประเด็นการตัดงบชําระหนี้ให้ธนาคารรัฐในปีงบประมาณ 2568 (หนี้มาตรา 28 วงเงิน 35,000 ล้านบาท )โดยโยกไปใส่ไว้ในงบกลาง เพื่ออาจจะนำไปใช้ในโครงการแจกเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ตที่เป็นนโยบายเรือธงของพรรคเพื่อไทยช่วงหาเสียงปี2566 ว่า อาจขัดรัฐธรรมนูญ “ส่งผลให้ สส.เเละสว.รวมทั้งครม.ที่ร่วมโหวตผ่านงบประมาณปี 2568 ในวาระ 2 และวาระ 3 อาจหลุดจากตำแหน่ง ”
เพราะรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 144 วรรคแรก ห้าม สส.เสนอให้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลง หรือเพิ่มเติมรายการเข้าไปในร่างกฎหมายงบประมาณ รวมทั้งห้าม สส.ไปตัดทอนงบ ชําระต้นเงินกู้, ดอกเบี้ยเงินกู้ และเงินที่กำหนดให้จ่ายตามกฎหมาย หรือ รายจ่ายตามข้อผูกพัน
เคสนี้น่าจะลุ้นกันเหนื่อยสำหรับผู้ถูกกล่าวหาหากย้อนไปสำรวจการให้สัมภาษณ์นโบายข้างต้นของเเกนนำพรรคสีเเดงนั้น ทุกคนยืนยันว่า“ไม่โยกงบ/ไม่เเปลงงบจากโครงการอื่นมาใช้/ไม่กู้เพิ่มเพื่อเเจก” เเต่ความจริงนั้นปรากฏเเล้ว...กับหลักฐานที่ปรากฏเเละชาญชัยนำไปยื่นเช็กบิล(กรณีนี้ควรนำคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญกรณีพิเชษฐ์มาเป็นไกด์ไลน์อ่านภูมิทัศน์สนามการเมืองไทยประกอบ)
เเละลุ้นว่างบภัยแล้งและฝนทิ้งช่วง ปี 2568 ที่นับเป็นระเบิดเวลาลูกที่สาม เพราะมีการยื่นป.ป.ช.เช็กบิลอีกกรณีนั้น ผู้ถูกร้องคือ “ประเสริฐ จันทรรวงทอง”รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะในฐานะกำกับดูแลสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ โดยมีการจัดสรรงบประมาณแก้ไขปัญหาภัยแล้งวงเงินราว 51,584 ล้านบาท ให้ สส.พรรคเพื่อไทย คนละ 50 ล้านบาทไปใช้ลงพื้นที่ ถือเป็นการขัดต่อมาตรา 144 ของรัฐธรรมนูญ โดยมีการระบุถึงชื่อของคนในพรรคเพื่อไทย/ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ
ตัดจบบทสรุปจากระเบิดเวลายี่ห้อม.144ของกติกาหลักนั้น คนค่ายสีเเดงโดนอานุภาพของระเบิดลูกเเรกไปเเล้วเเละเอฟเฟกต์นั้นจะลามมายังลูกที่สองเเละลูกที่สามหรือไม่..เเละมีผลเพียงใด
หากวินิจฉัยความเห็นนักวิชาการ/กูรู/เซียนการเมืองในเคสพิเชษฐ์เพื่อประเมินผลของระเบิดเวลาลูกที่สองเเละลูกที่สามนั้น นับว่าเหนื่อยยิ่งที่คนค่ายสีเเดงจะฝ่าดงระเบิดออกจากสมรภูมิเเละกับระเบิดที่พวกตนวางไว้เอง(การเเปรงบ/ใช้งบ/เสนอจัดสรรงบประมาณ)อย่างที่ไม่มีอะไรระคายผิวนั้น
ตอบได้สั้นๆเป็นไปได้ยากมาก-ยากที่สุด