
“โดรนป่วนไทย” สร้างความปวดหัวให้กับฝ่ายความมั่นคงไม่น้อย มีการวิเคราะห์ว่า ส่วนหนึ่งกัมพูชาอาจได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มทุนเทา หรือธุรกิจสีเทานอกกฎหมาย ซึ่งเฟื่องฟูมากในกัมพูชา ในฐานะที่ถูกขนานนามว่า “ศูนย์กลางสแกมเมอร์โลก” โดยการสนับสนุนมีทั้งในแง่เงินทุนและอุปกรณ์
แม้เรื่องนี้ไม่มีใครยืนยันได้ แต่มีนักวิชาการที่เก็บข้อมูล ตลอดจนความเคลื่อนไหวต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมา และได้ประเมินความเป็นไปได้ ตลอดจนแรงจูงใจหลักของขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ (Transnational Organized Crime หรือ TOC) ในการสนับสนุนโดรนให้กองทัพกัมพูชาโจมตีไทย
อาจารย์ฐิติวุฒิ บุญยวงศ์วิวัชร จากคณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คือ นักวิชาการที่เก็บข้อมูลและศึกษาเรื่องนี้ จากความสนใจเรื่องปัญหาตามแนวชายแดน และชนกลุ่มน้อย
อาจารย์ฐิติวุฒิ บอกว่า จากข้อมูลที่รวบรวมได้ แรงจูงใจที่กลุ่มธุรกิจสีเทาจะสนับสนุน “โดรน” ให้กองทัพกัมพูชา มีหลายปัจจัย ดังนี้
1.ปกป้องผลประโยชน์และอิทธิพลกลุ่มทุนสีเทาในกัมพูชาที่เกี่ยวข้องกับการพนัน ค้ามนุษย์ และยาเสพติด อาจใช้โดรนโจมตีไทยเพื่อตอบโต้การกดดันหรือแทรกแซงของไทยในเขตเศรษฐกิจพิเศษ เช่น ปอยเปต , ดารา สากอร์ หรือ ดาราสาคร (พื้นที่พัฒนาพิเศษชายฝั่งทะเล มีรีสอร์ตและท่าเทียบเรือขนาดใหญ่) ซึ่งก่อผลกระทบกับผลประโยชน์ของกลุ่มทุนสีเทา
2.ต่อรองกับรัฐบาลกัมพูชา โดยกลุ่มทุนสีเทาสนับสนุนกองทัพกัมพูชาเพื่อแลกกับความคุ้มครองทางกฎหมาย และยกระดับอำนาจต่อรองกับฝ่ายการเมือง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่รัฐอาจใช้ประโยชน์จาก TOC เป็นเครื่องมือทางยุทธศาสตร์ (ผลิตโดรน / ปล่อยโดรน / บังคับโดรน)
3.หวังผลสร้างความไร้เสถียรภาพชายแดน เพราะการโจมตีเชิงสัญลักษณ์ในพื้นที่ชายแดนช่วยเปิด “พื้นที่สีเทา” ให้กิจกรรมผิดกฎหมายดำเนินได้คล่องตัว และลดประสิทธิภาพการควบคุมของฝ่ายไทย
4.มุ่งตอบแทนพันธมิตรทางยุทธศาสตร์ เพราะ TOC อาจถูกใช้เป็น “กำลังเสริม” ในปฏิบัติการของกองทัพกัมพูชา เพื่อรักษาสัมพันธภาพและลดความเสี่ยงที่ตนจะถูกปราบปรามจากภายใน
5.เพิ่มอำนาจต่อรองระหว่างประเทศ เนื่องจากการสร้างความปั่นป่วนในไทยช่วยให้กัมพูชามีแต้มต่อในเวทีระหว่างประเทศ ขณะที่ TOC ได้รับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่ต่อเนื่องจากสถานการณ์นี้
เจาะ 2 จุดอ่อนไทยรับมือ “ทุนเทา” หนุนเขมร
อาจารย์ฐิติวุฒิ วิเคราะห์ต่อว่า สาเหตุที่ฝ่ายไทยมีความสับสนในช่วงแรกๆ ของการโดนป่วนจาก “โดรน” เนื่องจากไทยมีจุดอ่อนในการแยกแยะภัยคุกคามจากรัฐ กับภัยคุกคามกึ่งรัฐ
กล่าวคือ ไทยติดกรอบสงครามระหว่างรัฐ หรือ สงครามตามแบบ สงครามขนาดใหญ่ เพราะไทยยังวางยุทธศาสตร์ความมั่นคงบนสมมติฐานว่าภัยคุกคามหลักจะมาจากการปะทะโดยตรงระหว่างรัฐ จึงขาดการเตรียมพร้อมรับมือ “สงครามกึ่งรัฐ” ที่ใช้ขบวนการอาชญากรรมเป็นเครื่องมือโจมตีเชิงสัญลักษณ์ และบ่อนทำลายเสถียรภาพของรัฐคู่ต่อสู้
ขณะเดียวกัน ไทยยังขาดกรอบการรับมือกับ “อาชญากรรมกึ่งรัฐ” เนื่องจากเครือข่าย TOC ที่ได้รับการหนุนหลังจากรัฐเพื่อนบ้าน (มีผลประโยชน์ร่วมกันกับผู้มีอำนาจรัฐ) ถูกมองจากฝ่ายไทยว่า เป็นเพียงกลุ่มอาชญากรรมทั่วไป ซึ่งไทยยังไม่มีกรอบยุทธศาสตร์เฉพาะในการรับมือกับภัยคุกคามประเภทนี้อย่างจริงจัง