
31 กรกฎาคม 2568 การปะทะกันระหว่างไทยกัมพูชา ยังคงเป็นประเด็นที่ประชาชนจับตา เพราะแม้ขณะนี้จะมีการทำข้อตกลงหยุดยิง แต่ละฝ่ายทั้งทหารไทย และทหารกัมพูชา ต่างก็ออกมาเคลมเรื่องพื้นที่ ที่สามารถยึดครองได้หลังเสียงปืนเงียบสงบลง แต่สิ่งที่ทำให้คนไทยกังวลไม่น้อย คือการแถลงล่าสุดของโฆษกกองทัพบกเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ที่สรุปสถานการณ์ในภาพ รวมจนเกิดหลายคำถามตามมา
1. จริงหรือที่เราได้เปรียบในสมรภูมิชายแดน
**ล่าสุด ทบ.ออกมายอมรับแล้วว่า “ช่องตาควาย” ควบคุมพื้นที่ไม่ได้เบ็ดเสร็จ
**”ข่าวข้นคนข่าว” มีข้อมูลใหม่ว่า อีกบางพื้นที่ล่อแหลม เราก็ยังยึดไม่ได้เบ็ดเสร็จ
2. จริงหรือที่เรายังโน้มน้าวให้ชาวโลกเชื่อเราได้ ในสมรภูมิต่างประเทศ หรือเชื่อว่าต่างประเทศไม่ได้โง่
**เพราะกัมพูชาเดินเกมอย่างมียุทธศาสตร์ และมีมหาอำนาจหนุนหลัง
**ต่างประเทศอาจจะไม่ได้โง่ แต่ก็เลือกเชื่อตามผลประโยชน์ที่พวกเขาได้รับ และการกดดันของภูมิศาสตร์ก็เป็นไปได้ใช่หรือไม่
3. สุดท้ายเรากำลังจะพ่ายกัมพูชาอีกรอบถึง 3 สมรภูมิหรือเปล่า
หนึ่ง สมรภูมิชายแดน ซึ่งเราเคยเชื่อว่าเราได้เปรียบ ควบคุมพื้นที่ที่เป็นเขตอธิปไตยไทยไว้ได้ทั้งหมด และยังยึดจุดยุทธศาสตร์สำคัญได้อีกหลายจุด สามารถนำไปเป็นเงื่อนไขต่อรองได้บนโต๊ะเจรจานั้น ถึงนาทีนี้น่าจะไม่จริงเสียแล้ว
สอง สมรภูมิต่างประเทศ เราช้ากว่ากัมพูชามากกว่า 1 ก้าวตลอด และที่เคยเชื่อมั่นว่าโลกจะฟังเรา แต่ปรากฏว่ามหาอำนาจดูจะเอนเอียงไปทางฝั่งกัมพูชา ทั้งสหรัฐฯ จีน หรือแม้แต่รัสเซียที่อาจมีการสนับสนุนด้านการทหารอย่างไม่เป็นทางการ
สาม สมรภูมิข่าวสาร ไทยได้แต่แก้ข่าวเฟคนิวส์รายวันจากกัมพูชา ยังไม่สามารถยึดกุมพืันที่ข่าวเชิงรุกได้เลย
วันนี้ “โฆษกกองทัพบก” ออกมาแถลงยอมรับแล้วว่า ทหารไทยไม่ได้ควบคุมพื้นที่ปราสาทตาควาย และบริเวณโดยรอบเอาไว้ได้อย่างเบ็ดเสร็จ
การออกมาแถลงยอมรับ เพราะมีคลิปภาพทหารกัมพูชายึดตัวปราสาท ถูกปล่อยออกมา
ขณะนี้ึจึงมีการทำสงครามข่าวสารตอบโต้กันไปมา โดยไทยกล่าวหากัมพูชากลับว่า
- นี่ไม่ใช่ชัยชนะของทหารกัมพูชา เพราะในภาพเห็นทุ่นระเบิด PMN-2 วางอยู่ในตัวปราสาท แปลว่ากัมพูชาทำผิดอนุสัญญาออตตาวา
**และจริงๆ แล้ว ข่าวข้นคนข่าว ขอเพิ่มข้อมูลว่า พล.อ.กฤษณะ บวรรัตนารักษ์ อดีตรองเจ้ากรมพระธรรมนูญ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศ ก็เคยออกมาแนะนำให้ไทยร้องเรียนไปยังองค์การยูเนสโก เพราะกัมพูชาใช้มรดกทางวัฒนธรรมเป็นประโยชน์ทางการทหาร ซึ่งผิดหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และผิดธรรมนูญของยูเนสโก อย่างชัดแจ้ง
- ปัจจุบันทหารกัมพูชาไม่ได้ยึดตัวปราสาทไว้ได้ เพราะทหารไทยขับไล่ได้สำเร็จแล้ว แต่ทหารกัมพูชาไปยึดเนิน 350 ซึ่งเป็นจุดสูงข่มเหนือตัวปราสาท ส่วนไทยควบคุมพื้นที่โดยรอบ สถานการณ์จึงยังตรึงกันอยู่ และไทยคุมพื้นที่เนิน 350 ได้มากกว่าก่อนการปะทะ
ความเป็นมาของพื้นที่ตาควาย เราโดนยึดไป โดยก่อนหน้านี้ทหารกัมพูชา เข้าไปอยู่ในตัวปราสาท ต่อมาทหารไทยขับไล่ออกไปได้ แต่ยังไม่สุดแดน เนื่องจากกองกำลังฝ่ายกัมพูชา ยังยึดจุดสูงข่มบางจุดได้อยู่
***พื้นที่นี้ ในทางความมั่นคง อาจสรุปได้ว่า ยึดคืนได้แล้ว แต่ในทางการทหาร ได้รับการยืนยันว่า “ยังไม่เบ็ดเสร็จ” เพราะกองกำลังกัมพูชายังยึดพื้นที่จุดสูงข่มบนเนิน 350 ได้บางส่วน ทำให้ฝ่ายเราไม่สามารถเข้าไปเคลียร์พื้นที่ได้เหมือนบริเวณอื่นๆ
***ฝ่ายเราไม่ปลอดภัย หากจะเข้าไปในบริเวณปราสาท เพราะยังมีกองกำลังกัมพูชาอยู่ในจุดสูงข่ม สามารถยิงใส่ได้ตลอดเวลา และยังวางทุ่นระเบิดไว้โดยรอบ
ระดับการคุมพื้นที่จุดยุทธศาสตร์ชายแดน เราแบ่งเอาไว้เป็น 3 ระดับ
ระดับแรก ก็คือเหมือนที่ตาควาย
ระดับที่ 2 เป็นพื้นที่ที่ควบคุมได้เบ็ดเสร็จแล้ว หรือเกือบเบ็ดเสร็จ คือ ชักธงได้ วางกำลังได้ แต่ยังมีความพยายามโจมตีจากกัมพูชา เพื่อยุึดคืน เช่น ภูมะเขือ ตาเมือนธม ยังมีการยิงปืนกล ปืนใหญ่เข้ามา และส่งกำลังภาคอื่นเข้ามาเติม
**พื้นที่ปราสาทตาเมือนธมก่อนหน้านี้ ก็มีลักษณะคล้ายกับปราสาทตาควาย คือ ทหารกัมพูชาเข้าไปยึดตัวปราสาท จนถูกทหารไทยขับไล่ แต่จุดอื่นๆ โดยรอบ ฝ่ายเราควบคุมบริเวณโดยรอบได้ทั้งหมด
ระดับที่ 3 กัมพูชาใช้อาวุธหนักถล่มไม่เลือก ไม่เว้นบริเวณปราสาท ทำให้มีรายงานปราสาทที่เป็นมรดกวัฒนธรรมบางแห่ง ได้รับความเสียหาย
ข้อมูลที่เราได้มาใหม่ ล่าสุดวันนี้ และได้รับการยืนยันจากฝ่ายกองทัพ แต่ไม่มีการแถลง ก็คือ พื้นที่ระดับที่ 2 ซึ่งคนไทยเคยเชื่อว่าเป็น “สีเขียว” คือ ทหารไทยควบคุมได้เบ็ดเสร็จแล้ว ชักธงได้แล้ว ปรากฏว่าบางพื้นที่ก็ไม่จริงทั้งหมดตามนั้น
พื้นที่ที่ว่านี้ คือ “ช่องอานม้า”
- แต่เดิม พื้นที่ช่องอานม้า เป็นของไทย
- เขมรตีเนียน มาสร้างตลาด ไทยประท้วง แต่ไม่สนใจ
- เขมรได้ใจ ตีเนียนต่อเนื่อง มาสร้าง “อนุสาวรีย์ตาอม” เป็นอนุสาวรีย์รูปคนขี่ม้า น่าจะเป็นนักรบ บ้างก็เชื่อว่าเป็น “พญาละแวก” ใส่ชุดนักรบ ชี้หอกหรือทวนมาทางฝั่งไทย
**ผู้ที่สร้างอนุสาวรีย์นี้ คือ ฮุน มาเนต นัยว่าเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของพื้นที่ และแสดงชัยชนะเหนือไทย
- ฝ่ายไทยก็มีการไปตั้งฐานทหารพราน ระดับกองร้อย ใกล้ๆ ตลาด คุมเชิงพื้นที่ฝั่งไทย
- กระทั่งมีเสียงปืนดัง มีการปะทะ ใช้อาวุธกันตามแนวชายแดน ช่องอานม้าเป็นพื้นที่ที่มีการสู้รบ และมีทหารไทยพลีชีพ
- สุดท้ายไทยยึดพื้นที่ส่วนใหญ่เอาไว้ได้ ประกอบกับเขมรยิงปืนใหญ่ผิดพลาด กระสุนปืนตกที่อนุสาวรีย์ตาอม พังราบ
**ทำให้ “กังฟู” วสวรรธน์ พวงพรศรี หัวหน้าพรรคไทรวมพลัง เสนอให้สร้างอนุสาวรีย์วีรชนทหารไทยขึ้นแทน
- แต่พื้้นที่ตรงนี้ ทหารไทยยังควบคุมไม่ได้เบ็ดเสร็จ เพราะ
1.ทหารเขมรถูกผลักดันออกไป แต่ไปยึดเนิน 677 ซึ่งเป็นจุดสูงข่ม
2.เมื่อทหารไทยควบคุมพื้้นที่ได้ จึงพยายามไปกั้นลวดหนาม ปรากฏว่าโดนเขมรยิงใส่จากที่สูง ทำให้เกิดความสูญเสีย
3.ต่างฝ่ายต่างไม่เสี่ยงที่จะเข้าไป กลายเป็นพื้นที่โล่งๆ ว่างๆ (รอบๆ อนุสาวรีย์ที่ถูกยิงพัง)
**ฝ่ายทหารยืนยัน พื้นที่ยังอันตรายมาก เป็นอีกจุดหนึ่งที่พูดไม่ได้ว่า “ควบคุมได้ 100%”
สถานการณ์จริงที่ “หน้าแนว” ซึ่งไทยยังคง “ไม่ได้เปรียบ” ตามที่คาดหวัง ทั้งๆ ที่ปัจจัยเกื้อหนุน “เป็นต่อ” ทุกอย่าง ทั้งกำลังรบ ยุทโธปกรณ์ และสันปันน้ำ เส้นแบ่งเขตแดน ทำให้น่าเชื่อว่า สมรภูมิอื่นๆ ที่เหลือ ก็น่าจะหนักยิ่งกว่า
คำถามอยู่ที่ว่า ทางแก้มีหรือไม่?
คำตอบคือ “มี” แต่รัฐบาลไทยจะทำหรือเปล่า?
พลโท กนก เนตระคะเวสนะ อดีตรองแม่ทัพภาคที่ 2 ซึ่งอยู่ “หน้าแนว” และปะทะกับเขมรตั้งแต่ปี 2551 เรื่อยมาจนไทยแพ้คดีบนศาลโลกรอบ 2 บอกว่า ทุกอย่างกัมพูชาวางแผนมาหมดแล้ว / ในปี 2551 ที่เสียงปืนดัง ทหารกัมพูชาก็ยิงก่อน และเปิดประเด็นพิพาทต่อเนื่องมา โดยมีชนวนสำคัญคือการนำปราสาทพระวิหารไปขึ้นทะเบียนมรดกโลกฝ่ายเดียว กระทั่งลากไทยไปขึ้นศาลโลก โดยอ้างว่ามีข้อพิพาทพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร บริเวณรอบประสาท ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทับซ้อน / โดยยื่นฟ้องศาลโลกไปเมื่อปี 2554 และศาลโลกตัดสินในปี 2556
พลโท กนก บอกว่า ช่วงนั้นไทยกับกัมพูชาก็มีข้อตกลงหยุดยิง แต่เขมรละเมิดข้อตกลงตลอด และไทยก็เสียเปรียบมาตลอด ถือเป็นบทเรียนที่ไม่ยอมจำ เพราะวันนี้ก็มาเกิดปัญหาเดิมซ้ำอีก
พลโท กนก ยกตัวอย่างจากเหตุการณ์จริงเปรียบเทียบให้เห็นภาพง่ายๆ คือ มีข้อตกลงหยุดยิง ไทยก็ไม่ยิง เพราะปฏิบัติตามข้อตกลง / เขมรจึงเดินล้ำเข้ามาเรื่อยๆ ไทยทำได้แค่ประท้วง ทำให้เขมรรุกดินแดนไทยเข้ามาตลอด พอไทยรับไม่ได้ เกิดกรณีพิพาทขึ้น ก็ไปฟ้องศาล และไทยก็แพ้ เพราะเหมือนปล่อยให้เขมรรุกเข้ามา
ฉะนั้นเวลาจะมีข้อตกลงหยุดยิง ต้องมีกรรมการร่วม 2 ฝ่าย มีคนกลางเป็นสักขีพยาน กำหนดเส้นของแต่ละฝ่ายขึ้นมา ไม่ให้แต่ละฝ่ายข้ามเส้นเข้ามา ถ้าข้ามเข้ามา อีกฝ่ายต้องยิงได้ แบบนี้ถึงจะจบปัญหา
ส่วนสมรภูมิต่างประเทศ นายกษิต ภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งปี 2551-2554 ซึ่งสถานการณ์ไทย-กัมพูชาร้อนระอุคล้ายๆ วันนี้ สรุปฟันธงแบบตรงไปตรงมาว่า โดยเนื้อหาสาระแล้ว ไทยไม่ได้เสียเปรียบ เพราะไม่มีผู้นำโลก หรือนานาชาติที่ไหนโง่เชื่อเขมร แต่ปัญหาคือรัฐบาลทำงานเป็นหรือไม่ ตั้งแต่ นายกฯรักษาการ นายภูมิธรรม เวชยชัย หัวหน้าพรรคเพื่อไทย แพทองธาร ชินวัตร และ สทร. เสมียรประเทศ ซึ่งอ้างว่าสนิทกับฮุนเซน อย่าง นายทักษิณ ชินวัตร
นายกษิต บอกว่า หากตนเป็นนายกฯ หรือเป็นรัฐบาลของตน จะตั้ง “วอร์รูม” ที่สวนกลาง รวบรวมข้อมูลทั้งหมด และแถลงไปในทิศทางเดียวกัน แถลงจากหน่วยงานเดียว
ส่วนในพื้นที่ชายแดน จะมี “วอร์รูมภาคสนาม” ด้วยเช่นกัน เพื่อประสานข้อมูลทั้งหมด และตรวจสอบได้ทันท่วงที เป็นหนึ่งเดียว ไม่ให้มีข้อมูลหลายแหล่งจนสับสน
สำหรับปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร ฝ่ายไทยต้องตั้งสติ ไม่จำเป็นต้องโต้ทุกเรื่อง / แต่รวบรวม และสรุปให้ประชาชนเข้าใจอย่างถูกต้อง เป็นข้อมูลชุดเดียวกันที่มีความแน่นอน ขณะที่งานด้านการต่างประเทศ ก็ต้องมีทีมไปพบปะ นัดพบ หรือเดินทางไปพบกับองค์กรระหว่างประเทศต่าง ๆ เพื่อยื่นข้อมูลหลักฐาน และทำความเข้าใจ โดยไม่ต้องไปสนใจแก้ข่าวเขมรรายวัน