
นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงถึงพัฒนาการสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา และการดำเนินการของฝ่ายไทยที่ผ่านมาโดยเฉพาะด้านการต่างประเทศต่อประชาคมโลกว่า เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทย ประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ค ได้เข้าพบเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรปากีสถาน ประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ค ในฐานะประธาน UNSC ประจำเดือนกรกฎาคม 2568 เพื่อยื่นหนังสือชี้แจงเหตุการณ์การใช้กำลังทหารที่เริ่มโดยกัมพูชา รวมถึงการละเมิดพันธกรณีระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง พร้อมขอให้เวียนหนังสือเอกสารของไทยไปยัง UNSC เพื่อให้ประเทศสมาชิกได้รับทราบ
เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทย ประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ค
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ยังย้ำว่า ในเวลา 02.00 น.ของวันที่ 26 กรกฎาคมนี้ ตามเวลาประเทศไทย UNSC ซึ่งมีสมาชิก 15 ประเทศ และประเทศไทย กับกัมพูชา ซึ่งเป็นประเทศคู่กรณี จะมีการประชุมร่วมกันแบบปิด หรือ Private Meeting เพื่อหารืออย่างไม่เป็นทางการต่อสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยจะไม่มีการลงมติใด ๆ ซึ่งเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทย ประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ค จะเข้าร่วมในครั้งนี้ เพื่อชี้แจงเหตุการณ์ และนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กำลังเดินมากลับมาจากนครนิวยอร์ก เพื่อแถลงข่าวถึงการประชุมในวันพรุ่งนี้ (26 ก.ค.)
ส่วนกรณีที่กัมพูชาพยายามผลักดันปัญหาไปสู่ UNSC จนมีการคาดการณ์อาจมีความพยายามผลักดันไปสู่ศาลโลก หรือ ICJ ต่อนั้น โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ชี้แจงว่า จะต้องแยกเรื่อง UNSC และ ICJ ออกจากกัน เพราะ UNSC ไทยพร้อมชี้แจงข้อเท็จจริง และจุดยืนของประเทศไทย และกัมพูชา ก็ต้องการไปสู่จุดนั้น เพื่อชี้แจง และฟ้องต่อ UNSC ในเรื่องต่าง ๆ แต่สำหรับ ICJ นั้น ถือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งไม่เกี่ยวกัน แต่ไทยก็พร้อมชี้แจงทั้ง 2 เวที ที่บนเวที UNSC ไทยก็มีสิทธิชี้แจง และยึดมั่นในในข้อเท็จจริง ที่ไทยถูกโจมตีก่อน และต้องปกป้องอธิปไตย และคนไทย ดังนั้น จึงไม่น่ากังวล และสำหรับศาลโลกนั้น ไทยไม่ได้รับอำนาจศาลโลก แต่ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ และมีความพร้อม มีการพูดคุยกับที่ปรึกษากฎหมายระหว่างประเทศ มีการเตรียมความพร้อมโดยกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ อย่างละเอียดถี่ถ้วน และมีความมั่นใจเต็มที่
ส่วนการดำเนินมาตรการทางการทูตต่อสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาก่อนหน้านี้นั้น โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ย้ำว่า กระทรวงการต่างประเทศ ได้มีหนังสือประท้วงไปถึงสถานเอกอัครราชทูตกัมพูชา ประจำประเทศไทย และการลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตแล้ว รวมถึงมีหนังสือถึงเลขาธิการสหประชาชาติด้วย
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ยังชี้แจงข้อเท็จจริง หลังกระทรวงวัฒนธรรมและวิจิตรศิลป์ของกัมพูชา ออกแถลงการณ์กล่าวหากองทัพไทย รุกราน และสร้างความเสียหายต่อปราสาทเขาพระวิหาร ซึ่งเป็นแหล่งมรดกโลกว่า การปะทะกันระหว่างไทย-กัมพูชา เมื่อวานนี้ (24 ก.ค.) นั้น กัมพูชาเป็นฝ่ายเปิดฉากยิงก่อนบริเวณภูมะเขือ ซึ่งพื้นที่ดังกล่าว อยู่ห่างจากปราสาทเขาพระวิหาร 2 กิโลเมตร จึงเป็นไปไม่ได้ ที่จะมีกระสุน หรือสะเก็ดระเบิดไปถึงตัวปราสาท ซึ่งฝ่ายไทย จะชี้แจงเป็นหนังสืออย่างเป็นทางการต่อไปด้วย
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงถึงพัฒนาการสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา และการดำเนินการของฝ่ายไทยที่ผ่านมาโดยเฉพาะด้านการต่างประเทศว่า หลังการเปิดฉากโจมตีโดยฝ่ายกัมพูชา วานนี้ (24 ก.ค.) เหตุปะทะ ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง โดยเช้ามืดวันนี้ (24 ก.ค.) ฝ่ายกัมพูชา ก็ยังคงเริ่มเปิดฉากโจมตีฝ่ายไทยก่อน ซึ่งสถานการณ์ยังคงทรงตัว และกองทัพได้เร่งเก็บกู้วัตถุระเบิดที่ตกค้างบริเวณจุดเกิดเหตุสำคัญ โดยเฉพาะบริเวณปั๊มน้ำมันในอำเภอกันทรลักษณ์ จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อความปลอดภัยของประชาชน และเมื่อวานนี้ (24 ก.ค.) กระทรวงการต่างประเทศ ได้ออกแถลงการณ์ประณามการกระทำของฝ่ายกัมพูชา และแสดงความเสียใจต่อการสูญเสียที่เกิดขึ้นจากการปะทะที่เริ่มต้นจากฝ่ายกัมพูชา ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ยังย้ำว่า การกระทำของกัมพูชา ละเมิดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ กฎบัตรสหประชาชาติ กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ รวมถึงละเมิดศีลธรรมขั้นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ที่ควรได้รับการประณามอย่างเต็มที่จากประชาคมระหว่างประเทศ เพราะมีผู้เสียชีวิตจากเหตุนี้แล้ว 14 ราย ซึ่งรวมถึงเด็ก 2 คนอายุ 8 ขวบ และ 15 ขวบ รวมถึงยังมีผู้บาดเจ็บ 45 คน
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ยังย้ำด้วยว่า การปะทะกันระหว่างไทย-กัมพูชา เป็นปัญหาระหว่างรัฐบาล และกองทัพของทั้ง 2 ประเทศ ไม่ใช่ปัญหาระหว่างประชาชนของทั้ง 2 ประเทศ และยังคำนึงว่าไทยและกัมพูชา เป็นเพื่อนบ้านที่ยังต้องอยู่ร่วมกันต่อไป