
12 กรกฎาคม 2568 เพลานี้ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) คล้ายจะเป็นหน้าด่านที่รับพิจารณาสำนวนคดีของนักการเมือง/ข้าราชการมากกว่าปกติ หากไล่กวาดสายตาจะพบว่า“สนามบินน้ำ”มีการบ้านที่จะต้องดำเนินการไต่สวน/วินิจฉัยเเละมีมติเเจ้งความคืบหน้าให้สังคมรับรู้ในคดีหลักๆของนักการเมือง/พรรคต่างๆ/คนในเครื่องเเบบคือ
-ข้อกล่าวหาอดีต สส.พรรคก้าวไกล 44 คน ที่เข้าชื่อเสนอร่างแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เเละถูกร้องเรียนว่า เข้าข่ายฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรม
-สว.36 คนกล่าวหา“แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง และอาจมีลักษณะเป็นการจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย กรณีคลิปเสียงระหว่าง “สร.1” กับสมเด็จฮุน เซน โดยคดีดังกล่าวศาลรัฐธรรมนูญรับพิจารณาและสั่งให้ สร.1หยุดปฏิบัติหน้าที่
-รับเรื่องกล่าวหา “แพทองธาร” และพวกว่าจัดทำร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 จำนวน 2 สำนวน
1) กล่าวหาแพทองธาร , เศรษฐา ทวีสิน (เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี) ,ครม. ,คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 ,สส.และสว.ที่ลงมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติงบประมาณฯฉบับนั้นว่า ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 (กรณีปรับลดหรือตัดทอนงบใช้ต้นเงินกู้ ดอกเบี้ยเงินกู้ และรายจ่ายตาม เข้าไปมีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณฯซึ่งมีการนำงบไปใช้ในโครงการเเจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต )
2) อนุมัติ 28,990 โครงการเเก้ภัยเเล้ง/น้ำท่วม งบประมาณ 51,584 ล้านบาท และ พบว่า ”ประเสริฐ จันทรรวงทอง“ รองนายกรัฐมนตรีและรมว. ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ) เป็นผู้อนุมัติเสนอวาระนี้เข้าสู่ที่การประชุม ครม.เเละกล่าวหาว่า มีการจัดงบประมาณการแก้ปัญหาภัยแล้ง/น้ำท่วมให้นักการเมืองพรรคเพื่อไทย คนละ 50 ล้านบาท เเละยังพบคนในพรรคสีเเดงหลายคนรวมทั้งข้าราชการเข้าไปพัวพัน ซึ่งอาจเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 144
-สอบสวนและไต่สวนการกล่าวหา “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน ในช่วงที่ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในตำเเหน่งต่างๆตั้งแต่อดีต-ปัจจุบัน จำนวน 8 เรื่อง
-กรณีสส./อดีตสส. /คนวงในของอดีตรมต./เจ้าหน้าที่รัฐ พัวพันกับการได้รับเงินค่าเลี้ยงดู (แจกกล้วย) ในช่วงอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล รวม 11 คน ในยุคครม.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา (รัฐบาลพรรคพลังประชารัฐ)โดยพบว่ามีการแจกเงินให้สส.พรรคเล็ก-สส.พรรคใหญ่ เดือนละ 1 แสนบาท/คน อีกทั้งบางคนได้มากกว่านั้น รวมถึงเเจกเงินให้เจ้าหน้าที่รัฐอีกจำนวนหนึ่ง วงเงิน 200-300 ล้านบาท
-สว. ร้องเรียน “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ” รมว.ยุติธรรม และ “พ.ต.ต. ยุทธนา แพรดำ” อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ฐาน”ปฏิบัตืหน้าที่โดยมิชอบ“ กรณีกล่าวหาว่ามี”การทุจริต/ฟอกเงิน/อั้งยี่“การฮั้วเลือก สว.โดยสว.ขอให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องหยุดการสอบสวนเเละเอาผิดผู้กล่าวหา
-สว.ยื่น ป.ป.ช.เอาผิด "ภูมิธรรม เวชยชัย" เเละบอร์ด กคพ. 11 คน ปมรับคดีฮั้ว สว.
-กรณีชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจที่รับ “ทักษิณ ชินวัตร” เข้าพักรักษาตัว 6 เดือน โดยไม่ต้องกลับเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ซึ่ง ป.ป.ช.มีมติตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนคำร้องดังกล่าวเพื่อไต่สวนเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ และบุคลากรโรงพยาบาลตำรวจรวม 12 คน
-กลุ่มสว.สำรองร้องเรียน 92 สว.ว่าผิดจริยธรรม เหตุไปเเทรกเเซงการสอบสวนคดีฮั้วสว.ของพ.ต.อ.ทวีเเละอธิบดีดึเอสไอ
เผือกร้อนเหล่านี้ตกในมือของคณะกรรมการป.ป.ช.ยุคของ“สุชาติ ตระกูลเกษมสุข ”ที่รับหน้าที่ ประธานป.ป.ช. เมื่อวันที่13 ก.พ.2568 โดยสายสืบสนามบินน้ำเเจ้งว่า ประธานป.ป.ช.ได้วางหลักการการทำงานไว้คือ
1 .เร่งรับพิจารณาคำร้อง/การออกเลขรับ/ตั้งทีมไต่สวนเเละชี้มูลให้รวดเร็วขึ้นว่ารับหรือตีตก โดยมีไทม์ไลน์ในการทำงานที่ชัดเจน/เป็นธรรม/ชี้เเจงกับฝ่ายต่างๆได้
2 .ป.ป.ช.พิจารณาสำนวนของคนการเมืองทุกค่ายเเละทุกสีอย่างเป็นธรรม
3 .คดีตกค้างในสนามบินน้ำกว่า 3,000 คดีของยุคที่เเล้วตามที่นิวัติไชย เกษมมงคล อดีตเลขาธิการป.ป.ช.เคยระบุไว้นั้น ตอนนี้คดีคงค้างเริ่มหมดไปมากเเละเหลือวินิจฉัยไม่กี่ร้อยสำนวน เพราะสุชาติ วางเเนวทางว่าป.ป.ช.ต้องเร่งวินิจฉัยคดีคงค้างเเละคดีใหม่ๆเพื่อความโปร่งใส/เป็นธรรม/รวดเร็ว/สังคมเชื่อมั่นได้
4.วางระบบภายใน-ปรับโครงสร้างป.ป.ช. ใหม่ทั้งระบบเพื่อการทำงานที่รวดเร็ว/เป็นธรรม รวมทั้งเสนอร่างกฎหมาย/ระเบียบใหม่ๆป้องกันเเละปราบปรามการทุจริตให้ทันสมัยรับกับรูปคดีที่เปลี่ยนไปเเทบทุกวัน
5 .สลายข้อกล่าวหาว่า ป.ป.ช.“เเดนสนธยาเเละระบบเครือข่ายอำนาจเก่า”ให้หมดไป เน้นผลงานเเละเร่งติดตามคดีนั้นๆว่าคืบหน้า/โปร่งใส
6 .ป.ป.ช.ต้องไม่ขัดแย้งใคร สำนวนต่างๆดำเนินการไปตามข้อเท็จจริง และพยานหลักฐาน/โดยป.ป.ช.ยุคนี้ต้องไม่มึคำว่า“ใครรู้จักใคร ! ช่วยได้ไหม?หรือรายการคุณขอมา!“
ตอนนี้กลไกการทำงานของสนามบินน้ำคล่องขึ้น เนื่องจาก เมื่อวันที่ 26 มิ. ย.2568 มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯเพียรศักดิ์ สมบัติทอง เป็นกรรมการป.ป.ช.เเล้ว ดังนั้นคณะกรรมการป.ป.ช.ที่ปฏิบัติหน้าที่ในข่วงนี้คือ “สุชาติ ตระกูลเกษมสุข /เอกวิทย์ วัชชวัลคุ /เเมนรัตน์ รัตนสุคนธ์/ ภัทรศักดิ์ วรรณเเสง /ประภาศ คงเอียด/ เพียรศักดิ์ สมบัติทอง ”(จำนวนสองในสาม โดยกฎหมายกำหนดว่ากรรมการป.ป.ช.มีจำนวนเก้าคน)
รอการโปรดเกล้าฯหนึ่งราย( พศวัจณ์ กนกนาก ) สรรหาใหม่สองราย ( เเทนพลตำรวจเอกวัชรพล ประสานราชกิจ เเละสุวณา สุวรรณจูฑะ( สุวณา ยังปฏิบัติหน้าที่อยู่จนกว่าจะมีการสรรหาใหม่เเละมีการโปรดเกล้าฯ))
เท่ากับว่ากลไกการทำงานของป.ป.ช.ยุคของ"สุชาติ"จะคล่องตัว/เป็นธรรม/ลบข้อครหาในวันวานได้เเม้จะมีเผือกร้อนในมือก็ตาม ตรงนี้รอพิสูจน์กันว่า สนามบินน้ำยุคนี้จะกู้ชื่อเสียง/เรียกศรัทธาจากสังคมได้หรือไม่...รอติดตาม