
จากกรณี “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” ผู้นำสหรัฐฯ ส่งจดหมายถึงประเทศไทย เพื่อแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับมาตรการภาษีศุลกากร ซึ่งรวมถึงการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าไทยในอัตรา 36% มีผลตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป
ล่าสุด นายกฤษฎา บุญเรือง นักวิชาการอิสระ จากรัฐจอร์เจีย สหรัฐอเมริกา เขียนบทความเรื่อง อัตราภาษีศุลกากรเท่าใดแน่และเส้นตายจะเลื่อนอีกหรือไม่? โดยระบุว่า
การวิเคราะห์ที่มีน้ำหนักที่สุดอาจต้องพึ่งพาทิศทางของตลาดหุ้นสหรัฐฯ : Follow the Money!
การประกาศของทรัมป์ครั้งนี้และทุกครั้งที่ผ่านมา สร้างความวุ่นวายวิตกกังวลและความเสียหายมาก แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเกิดขึ้นจริง
ปฏิกิริยาของนักลงทุนในสถาบันการเงินใหญ่ของ Wall Street ซึ่งมีอิทธิพลและมีข้อมูลวงใน เป็นสิ่งที่ควรวิเคราะห์ เนื่องจากผลกระทบ จากการตัดสินใจที่ถูกหรือผิดของพวกเขา หมายถึงจำนวนเงินมหาศาล โดยเฉพาะสถาบันใหญ่ที่บริหารเงินของประชาชนเช่นเงินสวัสดิการและเงินเกษียณเป็นต้น
ดัชนีของ S&P 500 ซึ่งรวมมูลค่าของบริษัท Top500 ในสหรัฐฯ เคยขึ้นสูงถึง 6,144 กลางเดือนกุมภาพันธ์ 2025 แต่ขยับลงมาเป็นระยะ ด้วยความกังวลเรื่องสงครามภาษีศุลกากรซึ่งจะนำมาสู่ปัญหาเงินเฟ้อและสินค้าขาดแคลน รวมทั้งความเสื่อมศรัทธาต่อเงินดอลลาร์อเมริกัน
และดัชนีของ S&P 500 ร่วงอย่างรุนแรงต้นเดือนเมษายน ลงมาที่ 4,983 วันที่ 8 เมษายน ครั้งนั้นเป็นปฏิกิริยาตอบสนองครั้งแรกต่อวันปลดแอก 2 เมษายน
แต่ต่อมาสังเกตว่าดัชนีขึ้นมาสม่ำเสมอ
จนปัจจุบันที่ 6,225 ในวันที่ 8 กรกฎาคม หลังจากที่พุ่งสุด +21% เป็น 6,280 ในวันที่ 3 กรกฎาคม
นั่นอาจหมายถึง ‘นักลงทุนความเชื่อมั่นว่านโยบายภาษีทรัมป์เป็นเพียงแค่คำขู่มากกว่าเป็นจริง’
และรอบนี้การขู่โดยเส้นตายวันที่ 1 สิงหาคมนั้นดูเหมือนจะไม่ได้รับความเชื่อถือจากตลาดหุ้นอีกต่อไป จึงเห็นดัชนีขยับลงเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น (ลดลงเพียง 1% ปัจจุบันที่ 6,225 วันที่ 8 กรกฎาคม)
โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกามีการลงทุนโดยเสรีเป็นวงกว้าง
62% ของชาวอเมริกันมีส่วนร่วมทั้งทางตรงและทางอ้อม มีส่วนได้เสียกับทิศทางของตลาดตลาดหุ้น
ผู้นำและนักการเมืองพยายามรักษาความเชื่อมั่นและศรัทธาเพื่อการเลือกตั้งครั้งต่อไปโดยมักจะอ้างดัชนีของตลาดหุ้นเป็นการยืนยันว่าตนหรือกลุ่มตนมีความสามารถในการบริหารเศรษฐกิจ
ผู้เจรจาในนามของไทยจำเป็นต้องแสดงความกระตือรือร้นในการเจรจาต่อไป ย้ำว่าการแสดงภาพลักษณ์เป็นสิ่งสำคัญต่อทำเนียบขาวชุดในยุคนี้ แม้ไทยจะประเมินหรือมีความหวังว่า จะได้รับการผ่อนปรนไปอีกระยะหนึ่งเช่นที่เคยผ่านมาแล้ว