svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

“ดร.เอ้” ไขก๊อก เลือด ปชป.ไหลออกก๊อกสุดท้าย? เปิดสามยุคค่ายสีฟ้า

“ดร.เอ้” ไขก๊อก! เลือด ปชป.ไหลออกก๊อกสุดท้าย? เปิดสามยุคพรรคเก่าแก่ จากเบ่งบาน สู่โรยรา วันเวลาไม่หวนกลับ “ทำผิด - คิดพลาด” ประชาธิปัตย์ไม่เหมือนเดิม?

5 กรกฎาคม 2568 ข่าวการลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ของ “ดร.เอ้” สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ มีนัยทางการเมืองหลายอย่างกับพรรคประชาธิปัตย์ พรรคเก่าแก่พรรคนี้  โดยเฉพาะที่ต้องขีดเส้นใต้ 3 เส้น ก็คือ “คนรุ่นใหม่ - เลือดใหม่” ซึ่งได้รับการยอมรับจากสังคม “อยู่ไม่ได้”
“ดร.เอ้” ไขก๊อก เลือด ปชป.ไหลออกก๊อกสุดท้าย? เปิดสามยุคค่ายสีฟ้า

ก่อนหน้านี้ “คุณเดียร์” วทันยา บุนนาค โบกมือลาไปก่อนแล้ว ช่วงที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่ยอมถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลพรรคเพื่อไทย กรณีมีคลิปเสียงนายกฯ แพทองธาร คุยกับฮุนเซน หลุดมา จนถูกต่อต้านไปทั่วประเทศ
“ดร.เอ้” ไขก๊อก เลือด ปชป.ไหลออกก๊อกสุดท้าย? เปิดสามยุคค่ายสีฟ้า

นอกจากไม่ยอมถอนตัว ยังหาบหามต่อ จึงได้ “เก้าอี้เพิ่ม” เป็นโบนัส

ตามด้วย “ดร.เอ้” สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ดีกรีศาสตราจารย์หนุ่มหล่อ ความรู้ดี ระดับครีมของประเทศ​ และเคยลงสมัครผู้ว่าฯกทม. เมื่อปี 65 แม้จะไม่ชนะ แต่ก็ทำให้พรรคประชาธิปัตย์กลับมาอยู่ใน “สปอตไลต์การเมือง”

แต่วันนี้ “ดร.เอ้” โบกมือลาไปอีกคน ทำให้เกิดคำถามว่า พรรคเก่าแก่พรรคนี้มีปัญหาอะไร
“ดร.เอ้” ไขก๊อก เลือด ปชป.ไหลออกก๊อกสุดท้าย? เปิดสามยุคค่ายสีฟ้า

กระแส “เลือดไหลออก” ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก แต่ย้อนไปช่วงรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งพรรคตัดสินใจเข้าร่วมรัฐบาล หลังจาก คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ลาออก แสดงความรับผิดชอบที่พ่ายแพ้เลือกตั้ง ก็เคยเกิดปรากฏการณ์ “เลือดไหลออก” มาแล้ว
“ดร.เอ้” ไขก๊อก เลือด ปชป.ไหลออกก๊อกสุดท้าย? เปิดสามยุคค่ายสีฟ้า

“ช่าวข้นคนข่าว” เคยนับจำนวน ตรวจรายชื่อ “คนไหลออก” แล้วนำไปทำเป็นภาพการ์ตูน นั่งรถบัสออกจากพรรค ต้องบอกว่า “รถบัสแน่น” กันเลยทีเดียว

นอกจาก “เลือดไหลออก” แล้ว ผลงานก็ไม่โดดเด่น แม้จะเป็นรัฐบาล เลือกตั้ง 2 ครั้งล่าสุด จำนวน สส.ลดลงกว่าครึ่ง
 

 

เกียรติประวัติ ปชป. 9 หัวหน้า 4 นายกฯ
 

พรรคประชาธิปัตย์ เป็นพรรคการเมืองที่จดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และยังดำเนินงานอยู่ในปัจจุบัน ที่ถือว่าเก่าแก่ที่สุดของประเทศไทย ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2489 ปีหน้าจะอายุครบ 80 ปี

มีหัวหน้าพรรคมาแล้ว 9 คน ประกอบด้วย

นายควง อภัยวงศ์

ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช

พ.อ.(พิเศษ) ถนัด คอมันตร์

นายพิชัย รัตตกุล

นายชวน หลีกภัย

นายบัญญัติ บรรทัดฐาน

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์

นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน

ในจำนวนนี้เป็นนายกรัฐมนตรีถึง 4 คน คือ นายควง ม.ร.ว.เสนีย์ นายชวน และนายอภิสิทธิ์
“ดร.เอ้” ไขก๊อก เลือด ปชป.ไหลออกก๊อกสุดท้าย? เปิดสามยุคค่ายสีฟ้า
 

จากเบ่งบาน สู้โรยรา วันเวลาไม่หวนกลับ?
 

ไล่ดูจำนวน สส.จากการเลือกตั้ง จะเห็นได้ว่า ถ้าวัดกันที่จำนวน  ย่อมมีขึ้นมีลง ตามกระแสการเมืองในแต่ละช่วง

แต่หากให้แบ่งยุค ก็จะแบ่งได้ 3 ยุคกว้างๆ โดยยึดสถานการณ์บ้านเมือง และความสำเร็จของพรรคเป็นหลัก กล่าวคือ

1.ยุคทหารครองเมือง หรือทหารนำการเมือง

ตั้งแต่ปี 2489 ถึงการเลือกตั้งปี 2535 ครั้งที่ 1 / เคยได้ สส.มากที่สุด 100 ที่นั่ง และหัวหน้าพรรคเป็นนายกฯ 2 ครั้ง แต่ก็ไม่ได้โชว์ฝีมือ หรือบริหารบ้านเมืองอย่างโดดเด่นอะไรมากนัก เนื่องจากประเทศไทยมีการปฏิวัติรัฐประหารอยู่เป็นประจำ และมีวิกฤตทางการเมืองใหญ่ๆ เกิดขึ้นหลายครั้ง โดยเฉพาะ 14 ตุลาฯ 2516 และ 6 ตุลาฯ 2519

2.ยุคทอง ซึ่งเป็นยุคของ 2 หัวหน้าพรรครูปหล่อ และได้เป็นนายกฯทั้ง 2 คน คือ คุณชวน หลีกภัย กับ คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

คุณชวน คืออดีตผู้นำพรรคประชาธิปัตย์ ที่ก้าวสู่จุดสูงสุดทางการเมืองทุกตำแหน่ง เป็นนายกฯ 2 สมัย เป็นประธานรัฐสภา 2 ครั้ง และเคยเป็นผู้นำฝ่ายค้าน

ส่วนคุณอภิสิทธิ์ ก็เคยเป็นทั้งนายกฯ และผู้นำฝ่ายค้าน

คุณชวน เคยพาพรรคประชาธิปัตย์ ชนะเลือกตั้ง และตัวเองก้าวขึ้นเป็นนายกฯ อย่างเต็มภาคภูมิ สมศักดิ์ศรีพรรคการเมืองในระบบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา คือ การเลือกตั้่งปี 2535 ครั้งที่ 2 ได้ สส.  79 คน และกลับมาเป็นนายกฯอีกรอบ หลังวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 แต่เป็นการพลิกขั้วจากฝ่ายค้านมาเป็นรัฐบาล ช่วงที่ พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ ลาออก

ส่วนคุณอภิสิทธิ์ แม้ไม่เคยพาพรรคประชาธิปัตย์ชนะเลือกตั้ง (ชนะครั้งสุดท้ายตอนที่คุณชวนขึ้นเป็นนายกฯเมื่อปี 2535 นับถึงปัจจุบันคือ 33 ปีแล้ว) แต่ก็นำพรรคประชาธิปัตย์ได้ สส.มากที่สุดในประวัติศาสตร์ของพรรคถึง 2 ครั้ง คือ 165 เสียง และ 159 เสียง ในการเลือกตั้งปี 2550 กับ 2554 แต่สู้พรรคไทยรักไทย กับพรรคเพื่อไทยไม่ได้

ประชาธิปัตย์เข้าสู่ยุคถดถอยอย่างชัดเจน ซึ่งนับเป็น “ยุคโรยรา” หลังจากคุณอภิสิทธิ์ ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค เพื่อรับผิดชอบกรณีนำพาพรรคพ่ายแพ้การเลือกตั้งเมื่อปี 2562 แต่ก็ยังได้ สส.เกิน 50 คน

จากนั้นเกิดปรากฏการณ์เลือดไหลออก ในยุค คุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ เป็นหัวหน้าพรรค สืบเนื่องจากความเห็นต่างที่พรรคเข้าร่วมรัฐบาล และการแข่งขันชิงหัวหน้าพรรค ซึ่งมีแคนดิเดตลงแข่งถึง 4 คน ทำให้เกิดความขัดแย้ง และทำให้คนที่พ่ายแพ้ออกจากพรรคไปทั้งหมด หรือบางคนก็ยุติบทบาท

กระทั่งพรรคพ่ายแพ้เลือกตั้งซ้ำอีกครั้งในปี 2566 เหลือ สส.แค่ 25 คน ต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์พรรค ยกเว้นการเลือกตั้งครั้งแรกของพรรคในปี 2489 (แต่เชื่อว่าหากคิดเป็นสัดส่วนของ สส.ทั้งสภา ก็น่าจะมากกว่าครั้งนี้ เพราะครั้งนี้ได้ สส.แค่ 5%)

แม้กระทั่งภาคใต้ ฐานเสียงสำคัญที่สุดของพรรค เคยได้ สส.เกิน 90% มาตลอด 2-3 ทศวรรษ / ก็ถดถอยหนัก เหลือ สส. 22 คน จาก 50 คน คิดเป็น 44% ในปี 2562 และลดลงอีก เหลือ 17 คน จาก 60 คน คิดเป็ฯ 28% ในปี 2566
“ดร.เอ้” ไขก๊อก เลือด ปชป.ไหลออกก๊อกสุดท้าย? เปิดสามยุคค่ายสีฟ้า
 

 “ทำผิด - คิดพลาด” ประชาธิปัตย์ไม่เหมือนเดิม?
 

ความน่าตกใจของประชาธิปัตย์ยุคนี้ก็คือ แม้ในอดีตพรรคจะมีลักษณะลุ่มๆ ดอนๆ ขึ้นๆ ลงๆ แต่ไม่เคยอยู่ในสภาพ “ไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์” แบบนี้  / แม้คะแนนจะตก แต่ก็มีวันขึ้น

ทว่าปัจจุบันนี้ มองหาแสงสว่างไม่เจอ พรรคสูญเสียอัตลักษณ์และคุณสมบัติสำคัญหลายประการ

 1.ต่อสู้กับเผด็จการ - ไม่เหลืออีกแล้ว เพราะเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคนั่งร้านเผด็จการ

 2.ศัตรูกับทักษิณ - ไม่เหลืออีกแล้ว เพราะเข้าร่วมรัฐบาลกับลูกสาวของอดีตนายกฯทักษิณ

 3.สุจริต ยึดสัจจะ - ไม่เหลืออีกแล้ว เพราะหัวหน้าพรรคกลับคำ 2 ครั้ง และแกนนำพรรคบางคนมีประวัติสีเทา

 4.ยึดหลักการ - ไม่เหลือหลักการอะไรให้ยึดอีกเลย

 5.ภาพพรรคในวันนี้ คือ พรรคท้องถิ่น รอร่วมรัฐบาล แถมยังเต็มไปด้วยคนรุ่นเก่า ไม่มีคนรุ่นใหม่ได้แสดงบทบาท และเป็นพรรคเก่าแก่ สมชื่อจริง ในขณะที่การเมืองใหม่กำลังมาแรง และทิ้งห่างประชาธิปัตย์อย่างไม่เห็นฝุ่น

“ดร.เอ้” ไขก๊อก เลือด ปชป.ไหลออกก๊อกสุดท้าย? เปิดสามยุคค่ายสีฟ้า