
4 กรกฎาคม 2568 ทิศทางและความเคลื่อนไหวทางการเมือง ณ เวลานี้ มุ่งไปสู่การกดดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองโดยเร็วที่สุด
การเปลี่ยนแปลงที่พยายามขับเคลื่อนให้เกิดขึ้น มีอยู่ 2 รูปแบบ คือ
รูปแบบที่ 1 เรียกร้องให้นายกฯ หรือ รักษาการนายกฯ ยุบสภา เพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่
รูปแบบที่ 2 เรียกร้องให้นายกฯ แพทองธาร ลาออก เพื่อให้สภาเลือกนายกฯคนใหม่ เนื่องจากคนปัจจุบันหมดความชอบธรรมทางการเมืองแล้ว
ล่าสุดพรรคประชาชนก็ไม่ปฏิเสธแนวทางนี้ ไม่ว่านายกฯแพทองธาร จะพ้นจากตำแหน่งด้วยการลาออกเอง หรือถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ออก แต่มีเงื่อนไขให้ นายกฯคนใหม่ และรัฐบาลชุดใหม่ เป็นรัฐบาลที่เข้ามาบริหารประเทศช่วงระยะเวลาสั้นๆ เพื่อเดินหน้าสู่การยุบสภา เลือกตั้งใหม่ เหตุผลสำคัญเพื่อป้องกัน “อำนาจนอกระบบ” เข้าแทรกแซง (เช่น การรัฐประหาร หรือการขอพระราชทานนายกฯ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 5)
ความน่าสนใจของความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ว่านี้ก็คือ โดยนัยของการขับเคลื่อน คือ การสนับสนุนให้ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยเป็นนายกฯ โดยพรรคประชาชน พร้อมเทเสียงให้ แต่ไม่ร่วมบริหาร ไม่ร่วมเป็นรัฐบาล แต่จะขอให้รัฐบาลใหม่ เดินหน้าสู่การยุบสภาก่อนสิ้นปี
สาเหตุที่ตีความนัยเป็นแบบนี้ เพราะพรรคประชาชนไม่เชื่อว่า หากเพื่อไทยยังใช้สิทธิ์จัดตั้งรัฐบาลต่อไป จะยอมยุบสภาภายในสิ้นปี เพราะพรรคเพื่อไทยไม่เคยประกาศ หรือแสดงท่าทีในเรื่องนี้เลย
พรรคประชาชนจึงปลดล็อก เนื่องจากพรรคของตนมีเสียง สส.มากเป็นอันดับ 1 หากพรรคภูมิใจไทยรวมเสียงจากพรรคการเมืองที่เหลือได้ ยกเว้นเพื่อไทย ก็ตั้งรัฐบาล และส่งคุณอนุทินเป็นนายกฯไม่ได้อยู่ดี เพราะเสียงไม่ถึงกึ่งหนึ่ง จึงต้องอาศัยเสียงของพรรคประชาชน
นัยสำคัญทื่สุด คือ ช่วงชิงสถานะการเป็นรัฐบาลจากพรรคเพื่อไทย แล้วเดินหน้ายุบสภาภายในสิ้นปี เพื่อตัวเองจะได้มีโอกาสกลับมาเป็นรัฐบาล หลังการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นต่อไป ซึ่งคงไม่เกินไตรมาสแรกของปีหน้า
ขณะที่พรรคภูมิใจไทยก็อาจจะตอบรับ เพราะเป็นโอกาสที่จะได้เข้ามาเป็นรัฐบาล และสางแค้นเพื่อไทย แต่เงื่อนไขอยู่ในอำนาจระยะสั้น อาจทำให้ต้องคิดหนัก แม้จะมีข่าวเจ้าตัวเคยให้สัมภาษณ์ในรายการ “คนดังนั่งเคลียร์” ว่าพร้อมเป็นนายกฯในช่วงเวลาสั้นๆ เพื่อผ่าทางตันวิกฤตการเมืองก็ตาม
"ความเคลื่อนไหวนี้เองที่ทำให้คำว่า “รัฐบาลเฉพาะกิจ” หรือ “รัฐบาลเฉพาะกาล” ถูกหยิบมาพูดถึงกันมากในขณะนี้"