
19 มิถุนายน 2568 ที่อาคารรัฐสภา นายภราดร ปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย ในฐานะรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่สอง แถลงเปิดใจว่า ได้ตัดสินใจเมื่อคืนที่ผ่านมาถือว่ากระทันหันมาก และได้พูดคุยกับโฆษกพรรคภูมิใจ เพื่อนัดหมายสื่อมวลชนเวลา 08:30 น. ซึ่งจากที่เป็นข่าว 2-3 วันที่ผ่านมา หลังจากที่นายอนุทิน ชาญวีรกุล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยได้พูดถึง โดยยอมรับว่ามีการปรึกษาหารือถึงสถานการณ์ทางการเมือง ที่พอจะประเมินได้ว่าพรรคภูมิใจไทยจะเดินทางไปสู่จุดไหนของการเมือง
และได้ปรึกษาหารือว่าวันไหนกรณีพรรคภูมิใจไทยไปเป็นเสียงข้างน้อยของสภาผู้แทนราษฎร หรือไปเป็นฝ่ายค้าน จึงขอลาออกเพื่อไปทำหน้าที่กับเพื่อน สส.พรรคภูมิใจไทย ในฐานะ สส. ฝ่ายค้าน ซึ่งมีการทักท้วงจากหัวหน้าพรรคว่า ตามข้อกฎหมายไม่ได้ห้ามให้ตำแหน่งประธาน หรือรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ต้องลาออกในขณะที่ไปทำหน้าที่ฝ่ายค้าน
"แม้ข้อกฎหมายตามรัฐธรรมนูญ ตามกฏหมายตามข้อบังคับ ไม่ได้มีบัญญัติไว้ แต่ชี้แจงเหตุผลกับสื่อมวลชนและประชาชนทั่วทั้งประเทศ ว่าผมได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนคนที่สองเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2567 เพราะฉะนั้นแม้จะไม่มีคู่แข่ง และเป็นที่รู้กันดี มาจากฟากฝั่งเสียงข้าง และฝั่งของรัฐบาล พรรคภูมิใจไทยได้ส่งชิงตำแหน่งและตระหนักดีว่ามาจากภาคภูมิใจไทย ซึ่งตำแหน่งประธานและรองประธานทั้งสองคน ไม่มีมาจากเสียงข้างน้อย แม้ไม่ได้ระบุไว้ในตัวกฎหมายแต่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติและเป็นแนวปฏิบัติ ที่เข้าใจที่ถือปฏิบัติมา" นายภราดร กล่าว
นายภราดร กล่าว่า เมื่อรู้ว่าตัวเองมาจากเสียงข้างมากข้างและสถานะทางการเมืองของพรรคภูมิใจไทยที่สังกัดอยู่ ได้เปลี่ยนสถานะจากเสียงข้างมากมาอยู่ฟากฝั่งของเสียงข้างน้อย เมื่อคืนที่ผ่านมาพรรคภูมิใจไทยได้ประกาศชัดเจน ว่าจะถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล รวมถึงลาออกจากการดำรงตำแหน่งทางการเมืองของฝ่ายบริหารทั้งหมด นั่นหมายความว่าพรรคภูมิใจไทย เปลี่ยนสถานะจากเสียงข้างมากไปอยู่ในพรรคฟังของเสียงข้างน้อยหรือไปเป็นฝ่ายค้าน
เมื่อเป็นเช่นนี้ด้วยมารยาททางการเมืองและความรับผิดชอบทางการเมือง และเพื่อสร้างบรรทัดฐานที่มีให้กับสภาผู้แทนราษฎร จำเป็นที่ต้องตัดสินใจการลาออกจากรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่สอง คืนอำนาจให้กับสภาในการที่จะจัดสรรหาบุคคลที่มีความเหมาะสมจากฟากฝั่งเสียงข้างมากในสภา เพื่อเข้ามาทำหน้าที่รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่สองต่อไป
นายภราดร ยังกล่าวว่า มีความตั้งใจที่จะลาออกในช่วงที่มีการเปิดสมัยประชุมไปแล้ว เพราะตั้งใจที่จะใช้เวทีของสภาผู้แทนราษฎรขอบคุณในหลายส่วน แต่เมื่อสถานการณ์เร่งปฏิกิริยาให้เร็วขึ้น จึงต้องใช้วิธีนี้ จึงขอบคุณท่านประธานรัฐสภา ประธานสภาผู้แทนราษฎร และรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่1 ตลอดระยะเวลา 9 เดือน 8 วัน ในการปฏิบัติหน้าที่ได้รับความเมตตาและเอ็นดูและให้โอกาสในการดำเนินนโยบายต่างๆ ภายใต้ร่มใหญ่ ที่จะไปยังทำให้สภาผู้แทนราษฎรเป็นของประชาชน
ทั้งนี้ ตนได้รับมอบหมายให้ดูแลสำนักงานหลายสำนักงานภายใต้ร่มใหญ่สภาของพี่น้องประชาชน พยามที่จะคิดแนวทางและนโยบายหลายอย่าง เพื่อทำให้สภาเป็นสภาผู้แทนราษฎรของประชาชน เช่นเดียวกันกล่าวขอบคุณเพื่อนสมาชิก สส. ทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล ตลอดระยะเวลาในการทำหน้าที่อาจจะถูกใจบ้างไม่ถูกใจบ้าง แต่ส่วนตัวมั่นใจว่าเราทำถูกต้อง ขอบคุณที่ทุกคำวินิจฉัย ได้รับความเคารพ และเชื่อถือจากเพื่อนสมาชิกทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล
และจริงๆไม่ใช่เคารพในตนเอง แต่เคารพในตัวองค์กร เคารพในคนที่ทำหน้าที่ประธาน ดังนั้นขอขอบคุณเพื่อน สส. ทั้ง 495 คน และจะขาดเสียไม่ได้กล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ ข้าราชการที่อยู่ในกลุ่มงานดูแล 10 กว่าคน ได้ทำงานมากว่า 9 เดือน ด่ากันบ้างทะเลาะกันบ้าง และเห็นไม่ตรงกันบ้าง แต่พยายามที่จะทำงานตามแนวทางที่ได้กำหนดไว้ เชื่อว่าถ้าไม่มีมือ ไม่มีไม้ คิดอะไรก็ไม่สามารถที่จะทำให้เกิดเป็นรูปธรรม จึงขอบคุณทุกคนในห้องทำงาน
พร้อมกล่าวขอบคุณข้าราชการระดับสูง และทุกระดับของสภาผู้แทนราษฎร ทั้งสำนักงานที่กำกับดูแลและในส่วนที่ไม่ได้กำกับ ให้ความเมตตา รู้แล้วว่าตำแหน่งทางการเมืองอยู่ได้ไม่นาน มีวันมาแล้วมีวันไป แต่ทุกคำขอร้องทุกแนวทางที่ได้รับมอบหมายให้ไปดำเนินการ ทุกส่วนของสภาผู้แทนราษฎร ช่วยดำเนินการตามแนวทางที่ได้มอบหมายไป ตั้งแต่เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร รองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร รวมถึงข้าราชการ ที่ร่วมผลักดันภาระกิจต่างๆให้ลุล่วงมาถึงวันนี้
และขอบคุณเพื่อน สส. พรรคภูมิใจไทย ที่ร่วมสนับสนุน ที่สนับสนุนในการทำหน้าที่รองประธานสภาผู้แทนราษฎร ทั้งในวันที่ดำรงตำแหน่ง และวันสุดท้ายของการดำรงตำแหน่งมาส่งและมารับกลับบ้าน เช่นเดียวกันกล่าวขอบคุณประชาชนที่ติดตามการทำหน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎร จึงขอให้ติดตามกการทำหน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎรที่เป็นเสาหลักในการแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน ขอบคุณประชาชนที่ติดตามและให้กำลังใจ
นายภารดร ยังฝากไปถึงผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ที่สองต่อ ว่ายังมีอีกหลายภารกิจที่ได้รับมอบหมายแล้วยังทำไม่เสร็จ เช่น พิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิต พิพิธภัณฑ์ของประชาชนที่เปิดให้ประชาชนทั่วไปรวมเป็นเจ้าของกับสภาผู้แทนราษฎร หรือห้องสมุด รวมถึงงานฟังวิทยุโทรทัศน์รัฐสภาที่วันนี้มีหลายคนให้กำลังใจ
โดยมีหลายงานที่เป็นประโยชน์กับประชาชน และสังคม นั่นคือการทำให้สถานีวิทยุรัฐสภาเป็นสถานีของประชาชนอย่างแท้จริงแท้ วันนี้ได้ดำเนินการไปแล้ว และเปิดโอกาสให้สถานศึกษาที่มีความสนใจเข้ามาใช้อุปกรณ์และสถานที่ เป็นเสมือนหนึ่งของประชาชน ขอฝากในหลากหลายโครงการที่เป็นโครงการส่งเสริมเยาวชน ให้มีความเข้มแข็งและตระหนักรู้ถึงระบอบประชาธิปไตยประชาธป ต่อยอดยุวชนประชาธิปไตย โครงการสภาวดีที่เปิดให้เยาวชนเข้ามามีพื้นที่การแสดงออก ฝากเรื่องของสำนักงานประชาสัมพันธ์ที่ทำค้างไว้ คือการเปิดให้สภาแห่งนี้เป็นสภาที่เรียนรู้ มีการนำชมเยี่ยมชมสถานที่ และยังฝากเรื่องของเว็บไซต์รัฐสภา เพื่อให้เป็นเว็บไซต์ที่เป็นมิตรกับผู้คนที่เข้ามาติดตามตรวจสอบข้อมูลให้เข้าถึงข่าวสารของสภาผู้แทนราษฎรอย่างเต็มที่
”วันที่เข้ารับตำแหน่งได้ประกาศเอาไว้ว่าจะไม่เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรของพรรคภูมิใจไทย และไม่เป็นประธานสภาของฟากฝั่งเสียงข้างมาก แต่จะเป็นรองประธานสภาของสมาชิกทั้ง 495 คน วันนี้เวลา9 เดือนเกับ8 วัน เชื่อว่าสังคมได้พิพากษาว่า ตลอด 8 เดือน ที่ผ่านมาได้ทำหน้าที่อย่างที่ได้ประกาศเอาไว้หรือไม่ วันนี้ขอลาออกจากตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่สอง ให้ดำเนินการสรรหาผู้ที่เข้ามาทำหน้าที่คนต่อไป“ นายภราดรกล่าว
พร้อมยืนยันตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งด้วยตัวเอง ไม่ได้มีใบสั่งจากพรรคภูมิใจไทย หรือหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย โดยในการแถลงข่าวของนายภราดรนั้นมี สส.พรรคภูมิใจไทยให้กำลังใจ เช่น นายกรวีร์ ปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย น้องชายของนายภราดร, นางสาวแนน บุณย์ธิดา สมชัย โฆษกพรรคภูมิใจไทย , นายธนยศ ทิมสุวรรณ สส.เลย ,นางสาวพิมพฤดา ตันจรารักษ์ สส.อยุธยา ,นายวรศิษฐ์ เลียงประสิทธิ สส.สตูล
สำหรับ นายภราดร ได้รับการโหวตให้ดำรงตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่สอง เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2567 และมีพิธีรับสนองรับพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าแต่งตั้งในวันที่ 16 กันยายน 2567 โดยดำรงตำแหน่งมาก 9 เดือน 8 วันหรือเป็นเวลา 281 วัน นับจนถึงวันนี้ 19 มิถุนายน 2568