16 มิถุนายน 2568 ปมปัญหาระหว่าง "ไทย-กัมพูชา"
โดยเนื้อหาบางส่วน ที่เกี่ยวข้องกับ "MOU 2543" และ แผนที่ "1:50,000. VS 1:200,000." ระบุว่า
ประมาณปี 2537 หลังจากที่ประเทศกัมพูชาสามารถจัดการปัญหาการเมืองภายในและมีการจัดตั้งรัฐบาล รัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชาได้เริ่มเจรจาปัญหาเขตแดนอีกครั้ง เหตุผลหลักที่ประเทศไทยต้องการเจรจาปัญหาเขตแดนกับกัมพูชา คือ
❖ 1. หลังจากศาลโลกพิพากษาในปี 2505 ประเด็นปัญหาเรื่อง เขตแดนไทย - กัมพูชา ถูกละทิ้งเป็นเวลานานกว่า 30 ปี
❖ 2. เหตุการณ์สู้รบระหว่างทหารไทยกับลาว บริเวณบ้านร่มเกล้า ชายแดนจังหวัดพิษณุโลก ทำให้รัฐบาลตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาเขตแดนและนำไปสู่ความจำเป็นในการดำเนินการแก้ไขปัญหาเขตแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน
❖ 3. รัฐบาลมีนโยบายไม่ให้เรื่องเขตแดนกลายเป็นประเด็นทางการเมือง แต่เป็นเรื่องของกฎหมายและเรื่องทางเทคนิค
❖ 4. รัฐบาลตระหนักถึงความจำเป็นที่จะใช้กฎหมายระหว่าง ประเทศในการเจรจาเขตแดน
ดังนั้น เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2540 พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยและกัมพูชา
ได้ลงนามในแถลงการณ์ร่วมเพื่อจัดตั้งคณะกรรมาธิการร่วมจัดทำหลักเขตแดนสำหรับเขตแดนทางบก (Joint Statement on the Establishment of the Thai - Cambodian Joint Commission on the Demarcation for Land Boundary) ต่อมาในการประชุม คณะกรรมาธิการร่วมฯ ครั้งที่ 1 (30 มิถุนายน - 2 กรกฎาคม 2542) ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมฯ ขึ้นและเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2543 ประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมฯ ของทั้งสองฝ่าย คือ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร รัฐมนตรี ช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และนายวาร์ กิม ฮง ที่ปรึกษารัฐบาล ผู้รับผิดชอบกิจการชายแดน ได้ลงนามใน MOU 2543 โดย MOU 2543
ข้อ 1 กำหนดว่า
[ไทยและกัมพูชา] จะร่วมกันดำเนินการสำรวจและจัดทำ หลักเขตแดนทางบกระหว่างราชอาณาจักรไทยกับราชอาณาจักรกัมพูชาให้เป็นไปตามเอกสารต่อไปนี้
(ก) อนุสัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศสแก้ไขเพิ่มเติมข้อบท แห่งสนธิสัญญาฉบับลงวันที่ 3 ตุลาคม รัตนโกสินทรศก 112 (ค.ศ.1893) ว่าด้วยดินแดนกับข้อตกลงอื่น ๆ ฉบับลงนาม ณ กรุงปารีส เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ รัตนโกสินทรศก 122 (ค.ศ. 1904)
(ข) สนธิสัญญาระหว่างสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินสยามกับประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส ฉบับลงนาม ณ กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 23 มีนาคม รัตนโกสินทรศก 125 (ค.ศ. 1907) กับพิธีสารว่าด้วยการปักปันเขตแดน แนบท้ายสนธิสัญญา ฉบับลงวันที่ 23 มีนาคม รัตนโกสินทรศก 125 (ค.ศ. 1907) และ
(ค) แผนที่ที่จัดทำขึ้นตามผลงานการปักปันเขตแดนของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับอินโดจีนซึ่งจัดตั้งขึ้นตามอนุสัญญา ค.ศ. 1904 และสนธิสัญญา ค.ศ. 1907 กับเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้อนุสัญญา ค.ศ. 1904 และสนธิสัญญา ค.ศ. 1907 ระหว่างสยามกับฝรั่งเศส”
ทั้งนี้ MOU 2543 ไม่ใช่การกำหนดเขตแดนแต่เป็น MOU ที่ 2 ฝ่ายตกลงกันเกี่ยวกับขั้นตอนการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน
การที่ฝ่ายกัมพูชาอ้างว่าแผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 เป็นแผนที่ ของคณะกรรมการปักปันฯ การอ้างอิงเอกสารดังกล่าว ก็ไม่ได้แสดงว่า ไทย
“ยอมรับ” แผนที่หรือเส้นที่ปรากฏในแผนที่เป็นเส้นเขตแดน หากจะถือว่าไทยยอมรับในลักษณะนี้ ก็ต้องถือว่ากัมพูชายอมรับสันปันน้ำตามที่ระบุใน
อนุสัญญา ค.ศ. 1904 และสนธิสัญญา ค.ศ. 1907 ในข้อ 1 (ก) และ (ข) ของ MOU 2543 ด้วย ดังนั้น จะต้องมีการเจรจากันต่อไป จนกว่าทั้งสองฝ่ายจะได้ข้อยุติร่วมกัน
❖ สนธิสัญญากำหนดเขตแดนไทย - กัมพูชา มี 2 ฉบับ ได้แก่
อนุสัญญาสยาม - ฝรั่งเศส ค.ศ. 1904 และสนธิสัญญาสยาม - ฝรั่งเศส ค.ศ. 1907 สนธิสัญญาทั้งสองฉบับระบุให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการ ผสมสยาม - ฝรั่งเศสเพื่อปักปันเขตแดน เพื่อดำเนินการสำรวจ ภูมิประเทศจริง และได้มีการจัดทำแผนที่แสดงเส้นเขตแดน โดยมีการจัด ทำแผนที่ 2 ชุด ได้แก่
- แผนที่ชุด Bernard5 (ตามอนุสัญญาฯ ค.ศ. 1904 มี 11 ระวาง)
- แผนที่ชุด Montguers (ตามสนธิสัญญา ค.ศ. 1907 มี 5 ระวาง)
ซึ่งทั้งหมดเป็นแผนที่จัดทำในมาตราส่วน 1 : 200,000 ดังนั้น
เมื่อกล่าวถึง “แผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000” จึงหมายรวมถึงแผนที่ หลายฉบับ (มิได้หมายถึงแผนที่ระวางดงรักฉบับเดียว) ซึ่งครอบคลุม เขตแดนไทย - ลาว และไทย - กัมพูชา ปัจจุบันทั้งหมด
❖ “แผนที่ระวางดงรัก” ซึ่งเป็นแผนที่ที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุด และแสดงเขตแดนบริเวณปราสาทพระวิหาร จังหวัดศรีสะเกษ เป็นเพียง 1 ในแผนที่จำนวน 11 ระวางของแผนที่ชุด Bernard (ปัจจุบันเหลือใช้เพียง 8 ระวาง เนื่องจากเส้นเขตแดน ค.ศ. 1904 ตามแผนที่ชุด Bernard จำนวน 3 ระวาง ถูกยกเลิกโดยเส้นเขตแดนใหม่ตามสนธิสัญญา ค.ศ. 1907)แผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 ระวางดงรัก กับคำพิพากษาของ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ปี 2505
❖ ในคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร ปี 2505 ศาลฯ ระบุว่า จะไม่ตัดสินว่า เส้นเขตแดนไทย - กัมพูชา บริเวณปราสาทพระวิหารเป็นไป ตามแผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 ระวางดงรัก (ต่อไปนี้จะเรียกว่า “แผนที่ดงรัก”) หรือไม่ อย่างไรก็ตาม ศาลฯ จำเป็นต้องทราบว่า เส้นเขตแดนไทย - กัมพูชา อยู่ที่ใดในบริเวณปราสาทพระวิหาร เพื่อใช้เป็นเหตุผลที่จะตัดสินว่า ปราสาทพระวิหารอยู่ภายใต้อธิปไตยของประเทศใด
❖ ลักษณะของคำพิพากษาของศาลฯ แบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่
(1) ส่วนเหตุผล (reasoning) ซึ่งในหลักการ ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย
(2) ส่วนบทปฏิบัติการ (operative paragraph) ซึ่งมีผลผูกพันคู่กรณี
❖ ในส่วนเหตุผล ศาลฯ อ้างเหตุการณ์ที่แสดงให้เห็นว่า ไทยได้ยอมรับแผนที่ดงรัก ดังต่อไปนี้
(1) ฝ่ายไทยได้ดำเนินการเผยแพร่แผนที่ดงรักอย่างกว้างขวาง ภายหลังที่ได้รับมาจากฝรั่งเศส และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา ดำรงราชานุภาพ ทรงขอแผนที่เพิ่มเติมด้วย
(2) ไทยไม่เคยคัดค้านเส้นเขตแดนบนแผนที่ดงรักจนถึง ค.ศ.1958 แม้ว่าจะมีโอกาสหลายครั้ง เช่น การทำงานของคณะกรรมการถอดอักษรสยาม - ฝรั่งเศส ค.ศ. 1909 การสำรวจภูมิประเทศของกรมแผนที่ทหาร ค.ศ. 1934 และต่อมาได้ผลิตแผนที่ที่แสดงเส้นเขตแดนไปตามแผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 การเจรจาสนธิสัญญาทางไมตรีพาณิชย์ และการเดินเรือ ค.ศ. 1925 และ ค.ศ. 1937 และระหว่างการประชุมหารือของคณะกรรมการประนอมฝรั่งเศส - ไทย ค.ศ. 1947
❖ ในส่วนบทปฏิบัติการ ศาลฯ ระบุว่า ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ ในอาณาเขตภายใต้อธิปไตยกัมพูชา โดยไม่ได้ตัดสินเกี่ยวกับเส้นเขตแดนหรือสถานะของแผนที่ระวางดงรัก
❖ ประเด็นว่า เมื่อนำแผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 มาทาบลงบนแผนที่ 1:50,000 แล้วจะพบว่า เส้นเขตแดนตามแผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 ทำให้ไทยเสียดินแดนเป็นจำนวนมากนั้น มีข้ออธิบาย ดังนี้
1) แผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 และแผนที่ 1 : 50,000 เป็น แผนที่ที่มีวิธีการจัดทำ (Projection) แตกต่างกัน จึงมีลักษณะแตกต่างกัน
2.แผนที่มาตราส่วน 1:50,000 จัดทำโดยใช้พื้นผิวของรูปทรงกระบอก (Mercator Projection) ซึ่งจะแสดงระยะทางที่ถูกต้อง แต่ขนาดของ ภูมิประเทศจะคลาดเคลื่อน
ในขณะที่แผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 ซึ่ง จัดทำโดยใช้ Sinusoidal Projection (ลักษณะคล้ายหัวหอม) จะแสดง ขนาดภูมิประเทศถูกต้อง แต่ระยะทางคลาดเคลื่อน
3) เนื่องด้วยคุณสมบัติที่แตกต่างกันของแผนที่ทั้ง 2 ชุด จึงไม่สามารถนำแผนที่มาทาบกันได้ เพราะขนาดและรูปทรงของภูมิประเทศและ เส้นเขตแดนจะแตกต่างกันมาก
1. ภาพตัวอย่างการนำแผนที่ประเทศสหรัฐอเมริกาที่ทำโดย
ระบบที่แตกต่างกันมาทาบซ้อนกัน จะเห็นว่าไม่สามารถทาบกันได้สนิท
ทั้ง ๆ ที่พื้นที่คือพื้นที่เดียวกัน
2. แผนที่มาตราส่วน 1 : 50,000 ของไทยทำในระบบเมอเคเตอร์
(Mercator Projection) กำหนดค่าโดยระยะห่างและทิศทาง
3. แผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 ของฝรั่งเศส ทำในระบบซินูซอยดอล
(Sinusoidal Projection) ทุกช่องสี่เหลี่ยมมีพื้นที่เท่ากัน
สรุปคือ
แผนที่มาตราส่วน 1:50,000 ที่ไทยใช้อ้างอิง หมายความว่า 1 เซนติเมตรบนแผนที่จะเท่ากับ 50,000 เซนติเมตร หรือ 500 เมตร
โดยในความเป็นจริง การมีมาตราส่วนที่ละเอียดเช่นนี้ทำให้แผนที่แสดงรายละเอียดของภูมิประเทศได้อย่างชัดเจน เห็นถึงเนินเขา ลำธาร แม้กระทั่งเส้นทางเล็กๆ ได้อย่างแม่นยำ ซึ่งเหมาะสำหรับการกำหนดเขตแดนที่ต้องการความแม่นยำสูง
ในทางตรงข้าม แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ที่กัมพูชายืนยันใช้ หมายความว่า 1 เซนติเมตรบนแผนที่เท่ากับ 200,000 เซนติเมตร หรือ 2 กิโลเมตร
โดยในความเป็นจริง แผนที่ชุดนี้มีรายละเอียดน้อยกว่าแผนที่ไทยถึง 4 เท่า แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถครอบคลุมพื้นที่ได้กว้างขวางกว่า ทำให้เหมาะสำหรับการมองภาพรวมของบริเวณกว้าง
ความแตกต่างที่สำคัญยิ่งกว่ามาตราส่วนคือระบบการฉายภาพ (Projection System) ที่แต่ละแผนที่ใช้ แผนที่มาตราส่วน 1:50,000
ไทยใช้ระบบ Mercator Projection ซึ่งเป็นระบบที่ใช้พื้นผิวของรูปทรงกระบอก ในการแปลงจากโลกทรงกลมมาเป็นแผนที่เรียบ
ระบบนี้ได้รับความช่วยเหลือทางเทคนิคจากสหรัฐอเมริกา และมีคุณสมบัติเด่นในการแสดงระยะทางและทิศทางได้อย่างถูกต้องแม่นยำ
หากต้องการเดินทางจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งบนแผนที่ Mercator Projection เราสามารถวัดระยะทางและกำหนดทิศทางได้อย่างแม่นยำ แต่ข้อจำกัดของระบบนี้คือขนาดของภูมิประเทศอาจมีการผิดเพี้ยนไป โดยเฉพาะในพื้นที่ที่อยู่ไกลจากเส้นศูนย์สูตร ยิ่งไปทางขั้วโลกเหนือหรือใต้ การผิดเพี้ยนจะยิ่งมากขึ้น
ขณะที่แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ของกัมพูชาใช้ระบบ Sinusoidal Projection ซึ่งมีลักษณะเหมือนการหั่นเปลือกส้มแล้วแผ่ออกบนพื้นผิวเรียบ หรือบางคนเปรียบเทียบว่าเหมือนรูปหัวหอม
ระบบ Sinusoidal Projection นี้เป็นผลงานของนักสำรวจฝรั่งเศส มีจุดเด่นในการแสดงขนาดและพื้นที่ของภูมิประเทศได้อย่างถูกต้องแม่นยำ ทุกช่องสี่เหลี่ยมบนแผนที่จะมีพื้นที่เท่ากันเมื่อเปรียบเทียบกับความเป็นจริง
คุณสมบัติของแผนที่ Sinusoidal Projection ทำให้เหมาะสำหรับการคำนวณพื้นที่ การวางแผนการใช้ที่ดิน หรือการประเมินทรัพยากรธรรมชาติ แต่ข้อเสียคือระยะทางที่วัดได้จากแผนที่อาจไม่ตรงกับความเป็นจริง โดยเฉพาะเมื่อวัดระยะทางแนวทแยงหรือในพื้นที่ที่อยู่ห่างจากเส้นกึ่งกลางของแผนที่
ปัญหาใหญ่ที่สุด
เมื่อนำ แผนที่มาตราส่วน 1:50,000 กับ 1:200,000 มาทาบกัน จะพบว่าไม่สามารถทาบได้อย่างสมบูรณ์ เนื่องจากความแตกต่างพื้นฐานของระบบการฉายภาพและคุณสมบัติที่แตกต่างกัน
เมื่อนักสำรวจพยายามใช้แผนที่ Mercator Projection ของไทยมาทาบกับแผนที่ Sinusoidal Projection ของกัมพูชา จะพบว่าเส้นเขตแดนที่ปรากฏบนแผนที่ทั้งสองชุดไม่ตรงกัน แม้จะอ้างอิงข้อมูลจากพื้นที่เดียวกันก็ตาม ความไม่ตรงกันนี้เกิดจากการที่แผนที่แต่ละชุดมีวิธีการแปลงข้อมูลจากโลกทรงกลมมาเป็นพื้นผิวเรียบที่แตกต่างกัน
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : ไทยไม่รับอำนาจศาลโลก ผลลัพธ์คืออะไร - ต้องทำตามคำตัดสินหรือไม่ ?