
8 มิถุนายน 2568 สื่อกัมพูชา พนมเปญ โพสต์ (Phnom Penh Post) เสนอบทความภาษาอังกฤษ ที่เป็นการตั้งคำถามว่า เหตุใดสองราชอาณาจักร ไทย - กัมพูชา ที่ต่างก็เป็น "เมืองพุทธ" จึงอยู่ร่วมกันอย่างสงบไม่ได้ ทั้งที่มีประวัติศาสตร์ที่ลึกซึ้งร่วมกัน มีความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมและศาสนา มีพรมแดนร่วมกันเป็นระยะทางกว่า 800 กิโลเมตร ที่ถูกกำหนดไว้ในสนธิสัญญาฝรั่งเศส-สยาม ในปี 2447 และ 2450
แต่แม้จะมีความผูกพันเหล่านี้ร่วมกัน แต่ความตึงเครียดก็เกิดขึ้นบ่อยครั้ง โดยเฉพาะในเรื่องการอ้างกรรมสิทธิ์ในมรดกทางวัฒนธรรม ประเพณี และสถานที่ทางศาสนา รวมถึงวัดวาอาราม ข้อพิพาทเรื่องดินแดนและการแบ่งเขตแดน ถือเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนและก่อให้เกิดความขัดแย้งมากที่สุด ซึ่งพนมเปญ โพสต์ ระบุว่า มักเป็นชนวนให้เกิด "กระแสชาตินิยมสุดโต่งในประเทศไทย" มาหลายชั่วอายุคน
พื้นที่ที่เกิดข้อพิพาทมากที่สุด ได้แก่ ปราสาทพระวิหารและบริเวณโดยรอบ ซึ่งกัมพูชาได้รับชัยชนะที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ( International Court of Justice) หรือ ICJ ทั้งในปี 2505 และ 2556 และยังมีพื้นที่พิพาทอื่นๆ อีก ได้แก่ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตากระเบย หรือ ปราสาทตาควาย และมอมเบย
ขณะที่ความขัดแย้งล่าสุด พนมเปญ โพสต์ อ้างว่า ไทยเป็นฝ่ายเริ่มก่อนเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ที่มอมเบย หรือ สามเหลี่ยมมรกต จังหวัดพระวิหาร ซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในดินแดนของกัมพูชา โดยทหารกัมพูชาถูกทหารไทยยิงเสียชีวิต ซึ่งจุดชนวนให้สังคมไทยออกมากล่าวอ้างว่า กองกำลังกัมพูชาละเมิดอำนาจอธิปไตยของไทย เหตุการณ์นี้ยังทำให้กองกำลังทหารไทย ที่ขึ้นชื่อเรื่องการก่อรัฐประหาร กล้าที่จะผลักดันสงครามเต็มรูปแบบกับกัมพูชา
รายงานระบุว่า ในปี 2543 กัมพูชากับไทย ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MoU) เกี่ยวกับการสำรวจและกำหนดเขตแดนระหว่างสองประเทศ ภายใต้บันทึกความเข้าใจฉบับนี้ ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) โดยการสำรวจและกำหนดเขตแดนทางบกได้ดำเนินการร่วมกันตามอนุสัญญาฝรั่งเศส - สยาม เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2447 กับสนธิสัญญาฝรั่งเศส - สยามเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2450 , พิธีสารเกี่ยวกับการกำหนดเขตแดนซึ่งผนวกเข้ากับสนธิสัญญาปี 2450 และแผนที่ที่ได้มาจากการทำงานของคณะกรรมาธิการการกำหนดเขตแดน ระหว่างอินโดจีนและสยาม ซึ่งจัดตั้งขึ้นภายใต้อนุสัญญาปี 2447 และสนธิสัญญาปี 2450 ตลอดจนเอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติตามอนุสัญญา 2450 และสนธิสัญญาปี 2450 ระหว่างสยามกับฝรั่งเศสก็ถูกนำมาพิจารณาด้วยเช่นกัน
รายงานระบุอีกว่า บันทึกความเข้าใจปี 2543 ได้พิสูจน์แล้วว่าไม่มีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหา ทำให้เกิดข้อกล่าวหาบ่อยครั้งและมีการโต้เถียงกันหลายครั้ง สาเหตุหลักของความขัดแย้งคือการใช้แผนที่ชุดต่างๆ กัมพูชา และ ICJ ได้อาศัยแผนที่ที่จัดทำขึ้นภายใต้อนุสัญญาปี 2447 และสนธิสัญญาปี 2450 ในทางตรงกันข้าม ไทยจัดทำและใช้แผนที่ของตนเองเพื่อยืนยันการอ้างสิทธิ์ในดินแดนฝ่ายเดียว
นอกจากนี้ สถานการณ์ปัญหาชายแดนกับกัมพูชา มักถูกใช้โดยไทยในเชิงยุทธศาสตร์ ในช่วงที่การเมืองภายในประเทศไม่มั่นคง หรือเมื่อกองทัพพยายามรวบอำนาจโดยการรัฐประหาร โดยยกตัวอย่างปี 2551 ที่กองกำลังทหารไทยเข้าไปในพื้นที่ปราสาทพระวิหารของกัมพูชาและบริเวณโดยรอบ แม้ว่าศาล ICJ จะตัดสินในปี
2505 ว่า ปราสาทเป็นของกัมพูชา ความขัดแย้งด้วยอาวุธยังคงดำเนินต่อไปเป็นเวลาหลายปี ล่าสุด เหตุการณ์ปะทะบริเวณชายแดนเมื่อเดือนที่แล้ว ที่หมู่บ้านมอมเบย ของกัมพูชา ดูเหมือนจะเป็นอีกกรณีหนึ่งของการยั่วยุทางทหารของไทย ซึ่งอาจมีจุดมุ่งหมายเพื่อหาเหตุผลหรือสนับสนุนให้เกิดการรัฐประหารใหม่
พนมเปญ โพสต์ ระบุว่า เมื่อบันทึกความเข้าใจปี 2543 สิ้นสุดลงในการแก้ไขปัญหาข้อพิพาทชายแดนที่ยืดเยื้อมายาวนาน รัฐบาลกัมพูชาจึงตัดสินใจเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2568 ที่จะส่งข้อพิพาทเกี่ยวกับพื้นที่อ่อนไหว 4 แห่ง ได้แก่ มอมเบย ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และประสาทตากระเบย ให้ ICJ ซึ่งยังไม่ได้รับการแก้ไขมาหลายปีแล้ว และยังคงมี ความเสี่ยงที่จะเกิดความตึงเครียดมากขึ้น ถ้าไม่ได้รับการแก้ไข การตัดสินใจนี้ ได้รับการรับรองเป็นเอกฉันท์จากการประชุมสมัชชาแห่งชาติและวุฒิสภากัมพูชาครั้งแรก
แต่เนื่องจากประเทศไทยมีศักยภาพทางเศรษฐกิจและการทหารที่ใหญ่กว่า จึงสนับสนุนการเจรจาทวิภาคีมาโดยตลอด ซึ่งเป็นแนวทางที่มักจะเป็นประโยชน์ต่อผลประโยชน์ทางยุทธศาสตร์ของประเทศ ในทางตรงกันข้าม กัมพูชายังคงมุ่งมั่นที่จะใช้กลไกที่มีอยู่ทั้งหมดที่จำเป็น โดยเฉพาะการหันไปหา ICJ เมื่อความพยายามทวิภาคีสิ้นสุดลง
รายงานอ้างว่า ประเทศไทยได้กดดันกัมพูชา ทั้งในด้านการทหารและเศรษฐกิจ รวมถึงการระดมกำลังทหารและยุทโธปกรณ์เพิ่มเติมตามแนวชายแดน ทั้งยังปิดด่านชายแดนหลายแห่งโดยฝ่ายเดียว เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2568 ซึ่งเป็นกลวิธีที่ใช้เป็นเครื่องมือกระตุ้นเศรษฐกิจซ้ำๆ เนื่องจากประเทศไทยมีสถานะทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งกว่า การปิดประเทศฝ่ายเดียว ซึ่งใช้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน สะท้อนถึงแนวทางแบบผลรวมเป็นศูนย์ ซึ่งมีความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่สำคัญสำหรับทั้งสองประเทศ และบั่นทอนความพยายามในการสร้างเสถียรภาพและความร่วมมือในระยะยาว
ถ้าประเทศไทยมุ่งมั่นอย่างแท้จริงที่จะแก้ไขปัญหาชายแดนโดยสันติ ควรให้ความร่วมมือกับกัมพูชาในการแสวงหาแนวทางที่เป็นกลางและมีกฎเกณฑ์ เช่น การส่งเรื่องไปยัง ICJ เมื่อการเจรจาทวิภาคีสิ้นสุดลง
รายงานอ้างอีกว่า เนื่องจากเป็นประเทศที่มีขนาดเล็กกว่าในด้านภูมิศาสตร์ ประชากร เศรษฐกิจ และกำลังทหาร กัมพูชาจึงไม่มีความสามารถหรือความตั้งใจที่จะก่อให้เกิดความขัดแย้งหรือรุกรานเพื่อนบ้านใดๆ ราชอาณาจักรต้องการการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ความร่วมมือในภูมิภาค และความสัมพันธ์ฉันมิตร ซึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญสำหรับการพัฒนาประเทศและความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน
รายงานได้ทิ้งท้ายว่า ในประวัติศาสตร์ กัมพูชาเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่มาช้านานก่อนที่ประเทศไทยจะก่อตั้งขึ้นเป็นรัฐ พื้นที่ส่วนใหญ่ที่ปัจจุบัน คือ ประเทศไทย เคยเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรเขมรโบราณ ประเทศไทยเริ่มประกาศเอกราชจากอิทธิพลของเขมรในศตวรรษที่ 13 และในที่สุดก็พัฒนาเป็นรัฐที่แตกต่างออกไป ดังนั้นประชาชนชาวกัมพูชาและไทยควรตระหนักว่า ทั้งสองประเทศมีประวัติศาสตร์ร่วมกันมายาวนาน พร้อมด้วยความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมและประเพณีอันลึกซึ้ง
ในขณะเดียวกัน สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่าเขตแดนของเรา เป็นมรดกตกทอดจากยุคอาณานิคม หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 และเมื่อได้รับเอกราช ทั้งสองประเทศต้องยึดมั่นตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งยืนยันว่าเขตแดนในยุคอาณานิคมตามที่กำหนดโดยสนธิสัญญาฝรั่งเศส - สยาม จะต้องได้รับการเคารพ หากไม่ปฏิบัติตามอาจเสี่ยงต่อการทำให้วงจรแห่งความขัดแย้งดำเนินต่อไปไม่สิ้นสุด
ย่อหน้าสุดท้ายระบุว่า "ถึงกองทัพ ผู้นำทางการเมือง และประชาชนชาวไทย ประวัติศาสตร์ไม่ควรถูกบิดเบือนเพื่อคนรุ่นต่อไป สิ่งสำคัญคือต้องยอมรับความเป็นจริงทางประวัติศาสตร์ และให้การศึกษาแก่ประชาชนเพื่อให้เคารพอำนาจอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน ศักดิ์ศรี และอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของประเทศเพื่อนบ้าน มีเพียงความเคารพซึ่งกันและกันและการมุ่งมั่นต่อวัฒนธรรมแห่งสันติภาพและการอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืนเท่านั้นที่อาณาจักรพุทธทั้งสองของเราจะสามารถอยู่เคียงข้างกันอย่างสันติได้อย่างแท้จริง