
6 มิถุนายน 2568 หลังจาก นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ออกมายอมรับเรื่องการปรับ ครม. เมื่อวันก่อน ( 4 มิ.ย.2568) ซึ่งมีการคาดการณ์เอาไว้ว่าไม่เกิน 13 มิ.ย.นี้ จะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างๆ อาทิ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม
"เนชั่นทีวี" มีความคืบหน้าของปรับ ครม.อุ๊งอิ๊ง 2 ดังนี้
ที่กลายเป็นข่าวเร้าใจเป็นพิเศษ คือ ชื่อแคนดิเดตที่จะมาแทน คุณพีระพันธุ์ เพราะมีทั้ง คุณสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ อดีตรองนายกฯ และ รมว.พลังงาน ในรัฐบาลลุงตู่ ซึ่งเคยเป็นข่าวไปแล้ว กับอีกคนคือ “ปลัดตุ๋ม“ จตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งกำลังจะเกษียณวันที่ 30 กันยายนนี้
การมีข่าว “ปลัดตุ๋ม” ยิ่งสะท้อนว่า “ฝ่ายนายทุน” กุมความได้เปรียบ เพราะ “ปลัดตุ๋ม” ได้รับการวางตัวเป็นหัวหน้าพรรคโอกาสใหม่ และพรรคโอกาสใหม่ ก็เป็นพรรคที่ “ปลัด ฉ.” ตั้งเอาไว้เพื่อเป็นอะไหล่ หรือทางเลือกทางการเมือง รวมถึงเป็นเวทีสำหรับอดีตข้าราชการที่เตรียมการรองรับหากสถานการณ์การเมืองพลิกผันไปแบบไม่คาดฝัน
และก็เป็นที่ทราบกันดีว่า พรรคโอกาสใหม่ มีผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการ คนเดียวกับพรรครวมไทยสร้างชาติ โดย “นายทุน” เตรียมเอาไว้เป็นพรรคสำรอง หากยึดรวมไทยสร้างชาติกลับมาไม่สำเร็จ
ฉะนั้นหาก “ปลัดตุ๋ม” เข้ามารับตำแหน่ง รมว.พลังงาน หรือตำแหน่งอื่นใน ครม. ก็จะเป็นการเพิ่มน้ำหนักให้พรรคโอกาสใหม่ ในการทำงานการเมืองต่อไป โดยเฉพาะการระดมคนเข้าพรรค เพื่อขยายฐานอนุรักษ์นิยม และอดีตข้าราชการ ซึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่ในประเทศ
ส่วนปฏิบัติการ “ริบมหาดไทย” มีข่าวว่า “พรรคที่ถูกริบ” ออกแนวงอแง เพราะกระทรวงที่มีการเสนอไปแลก คือ กระทรวงศึกษาธิการ แม้จะมีข่าวว่าลงตัวแล้ว แต่เจ้าของเพลง “หนูไม่ยอม” ยังมีตั้งแง่ เนื่องจากกระทรวงนี้เป็นโควต้าของภูมิใจไทยอยู่เดิม ฉะนั้นการโยกไปจึงไม่ใช่การ "แลก" แถมยังทำให้รัฐมนตรี "ชิดชอบ" ต้องสลับตำแหน่งด้วย
ล่าสุด จึงมีการเจรจาขอเก้าอี้ รมว.พลังงาน แทน เพราะ คุณอนุทิน หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ก็สนิทสนมแนบแน่นกับกลุ่มทุนพลังงาน เคยออกรอบตีกอล์ฟด้วยกัน มีภาพมีข่าวเกรียวกราวเป็นระยะ
ที่สำคัญ พรรคภูมิใจไทยจะไม่ยอมเสียโควต้า "กระทรวงศึกษาธิการ" เพราะมีโครงการใหญ่ระดับ 2 หมื่นล้านรออยู่ นั่นก็คือ “โครงการส่งเสริมการเรียนรู้ขั้นพื้นฐานทุกที่ทุกเวลา” หรือ โครงการ anywhere anytime มูลค่าราว ๆ 2 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นการเช่าอุปกรณ์แท็บเล็ตสำหรับนักเรียนและครู ราวๆ 1.5 หมื่นล้านบาท ที่เหลือเป็นค่าเช่าคลาวด์ และการออกแบบหลักสูตร