
22 พฤษภาคม 256 8 ณ ห้องพิจารณาคดี 4 ชั้น 3 อาคารศาลปกครอง ถนนแจ้งวัฒนะ ศาลปกครองสูงสุด อ่านคำพิพากษา ในคดีหมายเลขดำที่ อผ.163 - 166/2564 กรุงเทพมหานคร ระหว่าง นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กับพวกรวม 2 คน (ผู้ฟ้องคดี) กับ นายกรัฐมนตรี กับพวกรวม 9 คน (ผู้ถูกฟ้องคดี) คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและคดีพิพาทเกี่ยวกับความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย
โดย ศาลปกครองสูงสุด พิพากษา นางสาวยิ่งลักษณ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ต้องชดใช้ความเสียหายจากโครงการจำนำข้าว จำนวน 10,028 ล้านบาท
สำหรับคดีนี้ เริ่มมาจาก ผู้ฟ้องคดีทั้งสองฟ้องว่า ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากการที่กระทรวงการคลัง (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6) ได้มีคำสั่งที่ 1351/2559 ลงวันที่ 13 ตุลาคม 2559 ให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย กรณีอ้างว่า ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ในฐานะนายกรัฐมนตรีและในฐานะประธานกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ปล่อยให้มีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวและเพิกเฉยไม่ระงับยับยั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ทางราชการตามอำนาจหน้าที่ ผู้ฟ้องคดีเห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงนำคดีมาฟ้องต่อศาล)
ศาลปกครองชั้นต้น พิพากษาเพิกถอนคำสั่งกระทรวงการคลัง ที่ 1351/2559 ลงวันที่ 13 ตุลาคม 2559 ที่เรียกให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เป็นเงิน 35,717,273,028.23 บาท เพิกถอนคำสั่ง ประกาศ และการดำเนินการใด ๆ ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 7 ถึงที่ 9 (กรมบังคับคดี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 7 อธิบดีกรมบังคับคดี ที่ 8 เจ้าพนักงานบังคับคดี สำนักงานบังคับคดีแพ่ง กรุงเทพมหานคร 6 ที่ 9) ในการยึด อายัดทรัพย์สินเพื่อดำเนินการขายทอดตลาดที่สืบเนื่องจากคำสั่งกระทรวงการคลังดังกล่าว และเพิกถอนคำสั่งกระทรวงการคลัง ตามหนังสือ ลับ ด่วนที่สุด ที่ กค 0206/ล 2174 ลงวันที่ 30 สิงหาคม 2562 ที่ยกคำร้องขอกันส่วนในฐานะเจ้าของรวมของผู้ฟ้องคดีที่ 2 คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
เนื่องจากศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การที่คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด เห็นว่า
มีบุคคลที่เกี่ยวข้องหลายคนในมูลละเมิดกรณีโครงการรับจำนำข้าว ย่อมเป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ฯ ที่จะต้องดำเนินการสอบสวนหาตัวผู้รับผิดและจำนวนค่าสินไหมทดแทนที่มีเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องอีกหลายคนต้องชดใช้ เพื่อที่จะให้เจ้าหน้าที่อื่นที่มีส่วนต้องรับผิดในมูลละเมิดเดียวกันกับผู้ฟ้องคดีที่ 1 รับผิดตามสัดส่วนเฉพาะในส่วนของตน แล้วจึงนำจำนวนเจ้าหน้าที่ทั้งหมดที่ต้องรับผิดมากำหนดสัดส่วนความรับผิดของแต่ละคน มิใช่พิจารณาเพียงเสนอความเห็นว่า ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ผู้เดียวเป็นผู้กระทำโดยจงใจปล่อยให้มีการทุจริตโครงการรับจำนำข้าวและเพิกเฉยไม่ระงับยับยั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ทางราชการ
อีกทั้งข้อเท็จจริงยังปรากฏในคำให้การของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 ลงวันที่ 5 มิถุนายน 2563 ซึ่งกล่าวโดยสรุปว่า “...แต่โดยที่ไม่มีหลักฐานแน่ชัดในชั้นการพิจารณาความรับผิดทางแพ่งว่า ผู้ฟ้องคดีที่ 1 เป็นผู้สั่งการทำให้เกิดความเสียหายหรือเป็นผู้มีส่วนร่วมโดยตรงในการกระทำละเมิด... โดยถือว่าผู้ฟ้องคดีที่ 1 ในฐานะผู้บังคับบัญชามีส่วนเกี่ยวข้องใน 2 ขั้นตอน คือ การเสนอโครงการและการเบิกจ่ายเงิน เสมือนเป็นทั้งผู้อนุมัติโครงการและผู้อนุมัติเบิกจ่ายเงิน จึงมีสัดส่วนความรับผิดในแต่ละขั้นตอน ร้อยละ 10 เมื่อรวม 2 ขั้นตอนแล้ว คณะกรรมการพิจารณาความรับผิดทางแพ่ง จึงเห็นว่า ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ควรมีสัดส่วนความรับผิดเท่ากับ ร้อยละ 20 ของมูลค่าความเสียหาย จำนวน 178,586,365,141 บาท ดังนั้น ผู้ฟ้องคดีที่ 1 จึงต้องรับผิดจำนวน 35,717,273,028.23 บาท...” จากข้อเท็จจริงดังกล่าว เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 ยอมรับว่าไม่มีหลักฐานแน่ชัดในการพิจารณาความรับผิดทางแพ่งว่าผู้ฟ้องคดีที่ 1 เป็นผู้สั่งการทำให้เกิดความเสียหายหรือเป็นผู้มีส่วนร่วมโดยตรงในการกระทำละเมิด การกำหนดสัดส่วนให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 รับผิดจึงมิได้เป็นไปตามมาตรา 10 ประกอบมาตรา 8 แห่ง พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 ประกอบกับข้อ 8 ข้อ 9 ข้อ 10 ข้อ 11 และข้อ 17 ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 และไม่เป็นไปตามหนังสือกระทรวงการคลัง ด่วนที่สุด ที่ กค 0406.2/ว 66 ลงวันที่ 25 กันยายน 2550
นอกจากนี้ เมื่อคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบในแผนการบริหารราชการแผ่นดินดังกล่าวแล้ว ให้มีผลผูกพันคณะรัฐมนตรี รัฐมนตรี และส่วนราชการ ที่จะต้องดำเนินการจัดทำภารกิจให้เป็นไปตามแผนการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ ร่วมกันจัดให้มี
การประเมินความคุ้มค่าในการปฏิบัติภารกิจของรัฐที่ส่วนราชการดำเนินการอยู่เพื่อรายงานคณะรัฐมนตรีสำหรับเป็นแนวทางในการพิจารณาว่า ภารกิจใดสมควรจะได้ดำเนินการต่อไปหรือยกเลิกและเพื่อประโยชน์ในการจัดตั้งงบประมาณของส่วนราชการในปีต่อไป โดยในการประเมินความคุ้มค่า ให้คำนึงถึงประเภทและสภาพของแต่ละภารกิจ ความเป็นไปได้ของภารกิจหรือโครงการที่ดำเนินการ ประโยชน์ที่รัฐและประชาชนจะพึงได้และรายจ่ายที่ต้องเสียไปก่อนและหลังที่ส่วนราชการดำเนินการด้วย คณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวไม่มีอำนาจหน้าที่ในการประเมินความคุ้มค่าในการปฏิบัติตามโครงการรับจำนำข้าว และไม่อาจพิจารณาเพียงจากผลกำไรขาดทุนทางบัญชี จากการซื้อและขายข้าวตามข้อมูลของคณะอนุกรรมการ ฯ โดยต้องคิดคำนวณการหักค่าข้าวเสื่อมคุณภาพ ข้าวคงเหลือในคลังสินค้า การระบายข้าวในสต็อกของรัฐบาลที่ยังคงเหลืออยู่ ซึ่งอยู่ระหว่างรอการระบายข้าวอยู่เป็นจำนวนมากให้ได้ข้อยุติก่อน การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และที่ 2 มีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเฉพาะในส่วนการกระทำของผู้ฟ้องคดีที่ 1 ในอัตราร้อยละ 20 ของความเสียหาย คิดเป็นเงิน 35,717,273,028.23 บาท จึงไม่ถูกต้อง และไม่เป็นธรรมแก่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ประกอบกับการดำเนินการตามโครงการรับจำนำข้าวมีการดำเนินการในรูปแบบของกรรมการซึ่งจะต้องอาศัยมติที่ประชุมเสียงข้างมาก แม้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 จะอยู่ในฐานะประธาน แต่ก็มิอาจมีอำนาจกำหนดหลักเกณฑ์ ยับยั้ง อนุมัติ เห็นชอบ หรือดำเนินการใด ๆ เพื่อให้เป็นไปตามความประสงค์ของตนได้
ส่วนกรณีที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และที่ 2 ได้นำการตั้งกระทู้ถามของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ยื่นญัตติต่อคณะรัฐสภา เรื่อง ปัญหาโครงการรับจำนำข้าวเกี่ยวกับการที่เกษตรกรถูกโกงความชื้น และระหว่างดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต 2555/56 ได้มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี ว่า การระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ มีการทุจริตเกิดขึ้น มาประกอบการให้เหตุผลในคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ชดใช้เงินค่าเสียหาย นั้น การตั้งกระทู้ การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี การลงมติไม่ไว้วางใจเป็นกระบวนการควบคุมและตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลที่เป็นการคานอำนาจของฝ่ายบริหารโดยฝ่ายนิติบัญญัติอันเป็นหน้าที่ของฝ่ายค้านในรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญเท่านั้น ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้รับมอบหมายจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 เป็นผู้ตอบกระทู้ สรุปความได้ว่า...ได้มีการอนุมัติให้คณะอนุกรรมการตรวจสอบลงพื้นที่ตรวจสอบทั้งหมด 10 จังหวัด และในโครงการนี้ที่ผ่านมา ดีเอสไอ (DSI) ก็รับเรื่องของโครงการทุจริตที่จังหวัดกาญจนบุรีไปเป็นคดีพิเศษเรียบร้อยแล้ว...กรณีจึงฟังไม่ได้ว่าผู้ฟ้องคดีที่ 1 กระทำโดยจงใจปล่อยให้มีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว และเพิกเฉยไม่ระงับยับยั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ทางราชการ ที่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 ตามมาตรา 10 ประกอบมาตรา 8 แห่ง พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดฯ คำสั่งกระทรวงการคลัง ที่ 1351/2559 ลงวันที่ 13 ตุลาคม 2559 ที่เรียกให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน จึงเป็นคำสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่มีเหตุที่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 จำต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากคำสั่งดังกล่าวแต่อย่างใด ดังนั้น ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 7 ถึงที่ 9 จึงไม่มีอำนาจที่จะใช้มาตรการบังคับทางปกครองตามมาตรา 57 แห่ง พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ดำเนินการยึด อายัดทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีที่ 1 เพื่อดำเนินการขายทอดตลาด และไม่มีอำนาจที่จะใช้มาตรการบังคับทางปกครองดำเนินการยึด อายัดทรัพย์สินที่ผู้ฟ้องคดีที่ 2 อ้างว่าตนมีกรรมสิทธิ์รวมกับผู้ฟ้องคดีที่ 1 เพื่อดำเนินการขายทอดตลาด โดยมีมูลเหตุมาจากคำสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ถึงที่ 9 จึงยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลปกครองชั้นต้นต่อศาลปกครองสูงสุด
พิพากษา "ยิ่งลักษณ์ ชดใช้จำนำข้าว 10,028,861,880.83 บาท
กรณีมีปัญหาจะต้องพิจารณาต่อไปว่า ผู้ฟ้องคดีที่ 1 จะต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 (กระทรวงการคลัง) เพียงใด นั้น เห็นว่า ความเสียหายเฉพาะในขั้นตอนการระบายข้าวด้วยวิธีขายแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ทราบปัญหาการทุจริตแล้ว แต่ไม่ได้มีการติดตามกำกับดูแล โดยเฉพาะในการติดตามดูแลหรือตรวจสอบการทุจริตตามสัญญาซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) ซึ่งผู้ฟ้องคดีที่ 1 ในฐานะประธาน กขช. เข้าร่วมประชุม กขช. แค่เพียงครั้งเดียว จากพฤติการณ์ดังกล่าว
จึงเห็นได้ว่า ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ในฐานะนายกรัฐมนตรี และในฐานะประธาน กขช. ซึ่งมีหน้าที่ติดตามกำกับดูแลการปฏิบัติตามนโยบายยังคงละเว้น เพิกเฉย ละเลยไม่ติดตามหรือสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รายงานผลการดำเนินงานตรวจสอบเพื่อที่จะได้ทราบข้อเท็จจริงที่ชัดเจน และกำหนดมาตรการป้องกันเพื่อมิให้เกิดความเสียหาย ซึ่งโดยวิสัยของผู้ฟ้องคดีที่ 1 ย่อมเล็งเห็นได้ว่า ควรที่จะพิจารณาข้อเท็จจริงและรายละเอียดต่างๆ ที่ปรากฏตามหนังสือทักท้วงของหน่วยตรวจสอบว่า มีความเสียหายเกิดขึ้นตามที่ได้รับรายงานหรือไม่ หรือติดตามดูแลการระบายข้าวด้วยวิธีขายแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) อย่างใส่ใจ
แต่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 กลับเพิกเฉยหรือละเลย จนเกิดการทุจริตขึ้นในขั้นตอนการระบายข้าวด้วยวิธีขายแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) ส่งผลให้มีปัญหาการระบายข้าวไม่ทันต้องเก็บรักษาข้าวในคลังเป็นเวลานานจนข้าวเสื่อมคุณภาพและสูญเสีย อีกทั้งไม่คำนึงถึงข้อทักท้วงและข้อเสนอของหน่วยงานซึ่งเป็นองค์กรที่ทำหน้าที่ตรวจสอบการดำเนินการตามโครงการต่างๆ ของรัฐ รวมทั้งการใช้จ่ายเงินงบประมาณแผ่นดินอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากที่สุด พฤติการณ์แห่งการกระทำของผู้ฟ้องคดีที่ 1 ดังกล่าว จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง
เป็นเหตุให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 ได้รับความเสียหาย ผู้ฟ้องคดีที่ 1 จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 ตามมาตรา 10 วรรคหนึ่ง ประกอบกับมาตรา 8 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 เมื่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการทุจริตในขั้นตอนการระบายข้าวด้วยวิธีขายแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) เกิดจากการแอบอ้างทำสัญญาซื้อขายข้าวในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาด แล้วมีการหาประโยชน์ที่ทับซ้อนโดยทุจริตได้ข้าวส่วนต่างจากราคาข้าวตามสัญญาซื้อขาย จำนวน 4 ฉบับ มีความเสียหายเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 20,057,723,761.66 บาท
เมื่อผู้ฟ้องคดีที่ 1 ได้รับทราบปัญหากรณีการทุจริตในการดำเนินงานโครงการรับจำนำข้าวเปลือก กลับไม่ดำเนินการตรวจสอบ ติดตาม หรือสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรายงานผลการดำเนินงานตรวจสอบให้ได้ข้อเท็จจริงที่ชัดเจนเกี่ยวกับปัญหาที่หน่วยตรวจสอบแจ้งให้ทราบ ผู้ฟ้องคดีที่ 1 เพียงแจ้งให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทราบและดำเนินการต่อไป แล้วรอรายงานจากเจ้าหน้าที่ดังกล่าว เมื่อได้รับรายงานจากเจ้าหน้าที่ว่าไม่มีการทุจริต ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ก็เชื่อรายงานดังกล่าว ทั้งที่แตกต่างจากผลการตรวจสอบของหน่วยงานตรวจสอบอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อความเสียหายจากการระบายข้าวด้วยวิธีขายแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) เกิดจากการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องหลายคน และเจ้าหน้าที่แต่ละคนต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนเฉพาะส่วนของตนเท่านั้น
เมื่อผู้ฟ้องคดีที่ 1 ในฐานะนายกรัฐมนตรีและประธาน กขช. ซึ่งมีอำนาจหน้าที่โดยตรงในการควบคุมตรวจสอบกำกับดูแลการปฏิบัติตามนโยบายการรับจำนำข้าวเปลือกที่ได้แถลงต่อรัฐสภา ทั้งมีอำนาจตามกฎหมายในการระงับยับยั้งหรือแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการทุจริตในขั้นตอนการระบายข้าว แต่มิได้ดำเนินการดังกล่าวอันเนื่องมาจากความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้ฟ้องคดีที่ 1 เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ จึงสมควรกำหนดสัดส่วนความรับผิดของผู้ฟ้องคดีที่ 1 ตามมาตรา 8 วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 โดยให้รับผิดในอัตราร้อยละ 50 ของความเสียหายจากการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) ตามสัญญาทั้ง 4 ฉบับ ดังกล่าว จำนวน 20,057,723,761.66 บาท คิดเป็นเงินที่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ต้องรับผิดจำนวน 10,028,861,880.83 บาท
ดังนั้น คำสั่งกระทรวงการคลังที่ 1351/2559 ลงวันที่ 13 ตุลาคม 2559 เฉพาะส่วนที่เรียกให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเกินกว่า จำนวน 10,028,861,880.83 บาท จึงเป็นคำสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
เมื่อคำสั่งกระทรวงการคลัง ที่ 1351/2559 ลงวันที่ 13 ตุลาคม 2559 เฉพาะส่วนที่เรียกให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเกินกว่า จำนวน 10,028,861,880.83 บาท เป็นคำสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย การยึด อายัดทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีที่ 1 เพื่อดำเนินการขายทอดตลาดในส่วนที่เกินกว่า จำนวน 10,028,861,880.83 บาท อันเป็นการใช้มาตรการบังคับทางปกครองตามมาตรา 57 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ที่ใช้บังคับในขณะนั้น จึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน และเมื่อทรัพย์สินนั้นเป็นทรัพย์สินที่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ได้มาภายหลังจากการที่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 และผู้ฟ้องคดีที่ 2 อยู่กินฉันสามีภริยาโดยมีเจตนาเปิดเผยตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2538 อีกทั้งผู้ฟ้องคดีทั้งสองยังได้มีบุตรด้วยกัน พฤติการณ์ย่อมถือได้ว่าผู้ฟ้องคดีทั้งสองอยู่อาศัยร่วมกันตลอดมาและมีเจตนาเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่หามาได้ร่วมกัน ผู้ฟ้องคดีที่ 2 จึงย่อมได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายในฐานะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมที่มีส่วนในทรัพย์สินเท่ากันกับผู้ฟ้องคดีที่ 1 ตามมาตรา 1357 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
แม้จะไม่ปรากฏชื่อผู้ฟ้องคดีที่ 2 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ดังกล่าวก็ตาม ดังนั้น ผู้ฟ้องคดีที่ 2 จึงเป็นผู้มีสิทธิขอกันส่วนในทรัพย์สินจากการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีสำนักงานบังคับคดีแพ่ง กรุงเทพมหานคร 6 (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 9) การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 โดยปลัดกระทรวงการคลัง (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4) ปฏิเสธการขอกันส่วนในฐานะเจ้าของรวมซึ่งทรัพย์สินที่ถูกยึดและอายัดมาจากผู้ฟ้องคดีที่ 1 จึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีที่ 2
ศาลปกครองสูงสุดพิพากษาแก้คำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น เป็น
1. ให้เพิกถอนคำสั่งกระทรวงการคลัง ที่ 1351/2559 ลงวันที่ 13 ตุลาคม 2559 เรื่อง ให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เฉพาะส่วนที่ให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเกินกว่า จำนวน 10,028,861,880.83 บาท ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่มีคำสั่งเป็นต้นไป
2. ให้เพิกถอนคำสั่ง ประกาศ และการดำเนินการใดๆ ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 7 ถึงผู้ถูกฟ้องคดีที่ 9 ที่มีคำสั่ง ประกาศหรือการดำเนินการใด ๆ ในการยึด อายัดทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีที่ 1 เพื่อดำเนินการขายทอดตลาด อันเป็นการบังคับตามมาตรการทางปกครอง ตามมาตรา 57 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ที่สืบเนื่องจากคำสั่งกระทรวงการคลัง ที่ 1351/2559 ลงวันที่ 13 ตุลาคม 2559 เรื่อง ให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เฉพาะในส่วนที่เกินกว่าจำนวน 10,028,861,880.83 บาท ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่มีคำสั่งเป็นต้นไป
3. ให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 ดำเนินการสั่งการเกี่ยวกับการขอกันส่วนทรัพย์สินที่ถูกยึดเพื่อนำมาขายทอดตลาดตามสิทธิของผู้ฟ้องคดีที่ 2 จำนวน 37 รายการ และแจ้งให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 7 จัดทำบัญชีรับ-จ่าย เพื่อกันส่วนให้ผู้ฟ้องคดีที่ 2 ในฐานะเจ้าของรวม รวมทั้งแจ้งผลการดำเนินการดังกล่าวให้แก่ผู้ฟ้องคดีที่ 2 ทราบ ทั้งนี้ ให้ดำเนินการภายใน 60 วัน นับจากวันที่ศาลมีคำพิพากษา