
8 พฤษภาคม 2568 ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลมีคำสั่ง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จำเลยในคดีประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ได้เดินทางมายื่นคำร้องขอเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 7 พ.ค.ที่ผ่านมา เพื่อขอไปยังประเทศกาตาร์ ตามคำเชิญของผู้ครองรัฐกาตาร์ในวันที่ 14 พ.ค.2568
ต่อมาในช่วง 18.00 น.ศาลมีคำสั่งยกคำร้องขอเดินทางขอออกนอกประเทศของนายทักษิณ โดยศาลพิเคราะห์ข้อเท็จจริงตามทางไต่สวนแล้ว เห็นว่า จำเลยได้รับจดหมายอิเล็กทรอนิกส์จากสำนักบริหารผู้รับเชิญ พระราชวังลูเซล ไปร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำที่ประเทศการตาร์ ซึ่งจัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ประธานาธิบดี โดนัลด์ เจ. ทรัมป์ อันมีลักษณะเป็นหนังสือเชิญส่วนตัว มิได้เชิญจำเลยในฐานะที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ซึ่งเป็นประธานอาเซียนประจำปี 2568
ทั้งไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับกำหนดการที่แน่ชัด เพียงแต่คาดหมายว่า หากประธานาธิบดีโดนัลด์ เจ. ทรัมป์ มางานเลี้ยงดังกล่าวจำเลยจะมีโอกาสพบปะหารือกับประธานาธิบดี โดนัลด์ เจ. ทรัมป์ และทีมเศรษฐกิจ เท่านั้น ประกอบกับ ช่วงที่ขอเดินทางไปอยู่ใกล้วันนัดพิจารณาคดีที่ศาลฎีกา และคดีนี้อาจกระทบต่อกระบวนพิจารณาของศาลได้ กรณียังไม่มีเหตุผลอันจำเป็นที่หนักแน่นเพียงพอ ที่จะให้จำเลยเดินทางออกนอกราชอาณาจักร
โดยภายหลังฟังคำสั่ง นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความนายทักษิณ เผยว่า จากเมื่อวานที่ได้ยื่นคำร้องขอออกประเทศ เเละศาลมีคำสั่งในวันนี้ คือเรายื่นคำร้องขอไปประเทศกาตาร์เนื่องจากว่า เจ้าผู้ครองนครรัฐกาตาร์ มีหนังสือเชิญมายัง นายทักษิณ ชินวัตร ในฐานะที่เป็นประธานที่ปรึกษาของประธานอาเซียน
ซึ่งวันนี้นายทักษิณก็ได้ให้การต่อศาลว่า การที่ยื่นขอไปต่างประเทศครั้งนี้ ไม่ได้เป็นการไปงานเลี้ยง แต่ไปเพื่อทำคุณประโยชน์ ใช้ประสบการณ์และความรู้ความสามารถ เพื่อประเทศชาติสังคมและประชาชน
สังคมคงเห็นอยู่ว่า เหตุผลที่นายทักษิณขอไป ซึ่งหลายคนก็เห็นอยู่ว่า มาตรการและนโยบายของสหรัฐอเมริกา โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในเรื่องของการจัดเก็บภาษีนำเข้าจากประเทศผู้ค้า และการค้าหลายประเทศ โดยเป็นการเรียกเก็บภาษีศุลกากรที่ได้รับผลกระทบกันทั่วโลก ประเทศไทยก็เป็น 1 ในประเทศที่ได้รับผลกระทบ ดังนั้นนายทักษิณที่เป็นอดีตนายกรัฐมนตรี และมีความเป็นห่วงใยประเทศชาติและเห็นผลประโยชน์ประเทศชาติอันสำคัญ
โดยนายทักษิณหวังทำเพื่อชาติบ้านเมือง จึงเป็นเหตุผลในการยื่นขอศาลในวันนี้ แต่อย่างไรก็ดี เมื่อศาลได้ไต่สวนและพิจารณาแล้วเห็นว่า การเชิญลักษณะนี้เป็นการเชิญแบบส่วนตัว และยังไม่มีกำหนดการที่ชัดเจน อาจจะเป็นเพียงการคาดหมายว่า ไปแล้วจะได้พบกับประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ นี่คือสิ่งที่ศาลเห็น เราก็น้อมรับดุลพินิจศาล ที่เห็นว่าระยะเวลาในการยื่นขอซึ่งเราขอ เดินทางออกนอกประเทศในวันที่ 14 พ.ค.ซึ่งใกล้กับกำหนดการพิจารณาคดีของศาลฎีกาฯ นักการเมือง ในเรื่องการบังคับโทษชั้น 14 ซึ่งมีวันนัดพร้อมตรงกับวันที่ 13 มิ.ย. เมื่อศาลอาญาเห็นว่า วันนัดใกล้กันเราก็ยอมรับดุลพินิจ
นี่คือเหตุผลที่ศาลเห็นว่า ไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะยังไม่อนุญาตให้ออกนอกประเทศ โดยทราบว่างานที่จัดที่กาตาร์ ตนเข้าใจว่าเป็นเหตุที่จะได้มีโอกาสพบประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ซึ่งมีกำหนดการที่จะเดินทางไปที่การตาร์ โอกาสการได้พบไม่ใช่โอกาสของนายทักษิณคนเดียว แต่เป็นโอกาสของประเทศชาติ
“เพราะหลายคนกำลังเฝ้าดูว่า จะมีโอกาสได้เข้าไปคุยหรือไม่ และหลายประเทศก็หวังว่า จะได้มีโอกาสเข้าไปเจรจากับประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แล้วไทยไม่อยากจะได้เข้าไปเจรจาหรืออย่างไร”
ส่วนที่นักข่าวถามว่า การที่ไม่ได้ออกไปเป็นอุปสรรคในการเจรจาเรื่องเศรษฐกิจและภาษีหรือไม่ นายวิญญัติ ระบุว่า คำถามนี้เป็นคำถามที่ตนอยากจะตั้งคำถามกลับไปอยู่ว่า การส่งออกหรือนำเข้าสินค้าในประเทศ จะมีเรื่องภาษีที่เป็นปัญหา เราจำเป็นต้องหาข้อตกลง เพื่อที่จะลดเรื่องอัตราภาษีหรือกำแพงภาษีนี้ให้ได้ อันนี้เป็นแนวทางหนึ่งของการเจรจาทางการค้าที่ถามว่า จะเป็นอุปสรรคหรือไม่ อยากให้สังคมคิดเอาว่า การที่มีบุคคลหนึ่งที่อยากจะทำเพื่อประเทศชาติ และบุคคลหลายคนที่อยากจะทำเพื่อประเทศชาติ เราถือว่าเป็นหน้าที่ของพลเมืองประชาชนคนไทยหรือไม่ ส่วนเป็นอุปสรรคหรือไม่ ตนไม่มีความเห็น แต่เห็นว่าถ้าเรามีโอกาสแล้วเราไม่ใช้โอกาส เราจะเสียโอกาสหรือไม่
ในส่วนเรื่องจะยื่นคำร้องหลังจากนี้อีกหรือไม่นั้น เป็นเรื่องอนาคตว่าจะยื่นคำร้อง หรือจะใช้กระบวนการใดทางศาล ตามสิทธิ์ของจำเลยในคดี
เมื่อถามถึงรายละเอียดจากหมายของศาลฎีกานักการเมือง นายวิญญัติ ตอบว่า ได้รับหมายแล้ว ตนในฐานะทนายความก็อยู่ระหว่างดู แต่ยอมรับว่ายังไม่ได้ดูในรายละเอียดมาก แต่ก็มีประเด็นที่ได้อ่านแบบเร็วๆ คือมีการคาดหมายว่า นายทักษิณไม่ได้ป่วยจริง หรือมีเจ้าหน้าที่รัฐหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง ช่วยเหลือเอื้อประโยชน์ ดังนั้นจึงมีคำถามกลับไปว่า ถ้าหากป่วยจริงแล้วจะทำอย่างไร คนที่ไม่มีหน้าที่รักษา จะทำให้คนป่วยหายป่วยได้หรือไม่ เมื่อป่วยแล้วก็จะต้องดำเนินการตามกระบวนการหรือกลไกของรัฐ
ดังนั้น อากาการป่วยผมยืนยันมาตลอด ไม่ต้องเชื่อตนก็ได้ แต่ขอให้เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้นและมีหลักฐานจริง ใครจะคิดว่าไม่ป่วยจริงก็เรื่องของเขา สิ่งที่เราจะพิสูจน์ต่อศาล คือการพิสูจน์ตามสิทธิ์ ศาลให้ชี้แจงเราก็ยินดีชี้แจง แล้วมั่นใจว่าสามารถชี้แจงได้
นายวิญญัติ ระบุต่อว่า หลักๆ ในหมายคือศาลมีคำถามว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้องที่กล่าวอ้างเกิดขึ้นจริงหรือไม่ ดังนั้นก็เป็นคำถามของตนในฐานะทนายความว่า ในเมื่อศาลยกคำร้องของนายชาญชัย คำร้องดังกล่าวย่อมจะต้องตกไป แต่ถ้าศาลเห็นว่าเนื้อความในคำร้องยังอยู่ แล้วศาลใช้อำนาจหรือกฎหมายใด อันนี้เป็นคำถาม
ซึ่งตนก็จะเขียนถามไปว่า การที่อ้างว่าใช้อำนาจตามมาตรา 6 หรือ มาตรา 246 ก็ดี ขอถามว่ามันเขียนไว้ชัดเจนตรงไหน อันนี้คือข้อโต้แย้งในฐานะนักกฎหมายตนมีสิทธิ์ที่จะไม่เห็นด้วย
แต่ที่ศาลถามว่าข้อเท็จจริงนั้นเกิดขึ้นหรือไม่ ก็หมายถึงข้อเท็จจริงของนายชาญชัยที่ยกมา ในเมื่อศาลไม่รับแล้วตีตกไปแล้ว เนื้อหามันควรจะตกไปด้วย เเละอำนาจในการบริหารโทษ ซึ่งปรากฏเป็นที่ถกเถียงกันในสังคมวิชาการของนักกฎหมายหลายคนว่า ศาลใช้อำนาจเข้ามาก้าวก่ายหรือ หรือศาลพยามที่จะมาล้วงลูกหรือไม่ ผมใช้คำถามนี้ เพราะเรื่องนี้เป็นข้อตกลงถกเถียงทางวิชาการตนไม่ได้ไปก้าวล่วงต่อศาล
“เมื่อเป็นข้อถกเถียงทางวิชาการหรือทางนิติศาสตร์ จึงเป็นข้อถกเถียงใหญ่ๆ ของคนในสังคมเอง ในบรรดานักกฎหมายเองก็ดีหรือผู้ที่ใคร่รู้ก็ดีว่า เราจะต้องดูว่าอำนาจนั้นจะต้องถูกตรวจสอบได้หรือไม่”
อย่างที่เคยกล่าวไว้ว่า ถ้าศาลมีคำสั่งให้ไต่สวน แล้วมีคนหนึ่งที่ไม่พอใจจำเลย หรือหน่วยงานอื่นที่ไม่เห็นด้วยหากศาลมีคำสั่งเราจะอุทธรณ์คำสั่งของศาลไปที่ใดได้ เพราะคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วหรือไม่ แล้วมีกฎหมายใดที่ให้สิทธิเเก่ผู้อุทธรณ์ได้หรือไม่ ไม่มีกฎหมายมาเขียน ตนขอตั้งคำถามเรื่องการมาตรวจสอบคดีที่ถึงที่สิ้นสุดแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องการบริหารโทษของกรมราชทัณฑ์ อย่างไรก็ดี เราก็ยอมรับอำนาจของศาลว่า ศาลมีสิทธิ์ที่จะตรวจสอบ แต่สิ่งเรานั้นเรานักกฎหมายและนักวิชาการก็จะต้องหาคำตอบ ข้อยุติในทางวิชาการและทางกฎหมายให้ชัดเจน
ในส่วนประเด็นเรื่องแพทยสภามีมติลงโทษหมอ ตนเข้าใจว่าเรื่องนี้ยังไม่เสร็จสิ้น กระบวนการของแพทย์สภาจะต้องเสนอต่อสภาที่ปรึกษาพิเศษที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธาน
ตนขอถามไปยังแพทยสภาว่า จะมีมติอะไรเป็นความเห็น ตนไม่ขอก้าวล่วง แต่มีแพทย์คนใดคนหนึ่งกล้าออกมาบอกหรือไม่ว่า นายทักษิณไม่ได้ป่วย ถ้ามีคนกล้าขอให้ออกมาแถลงข่าวต่อสังคมได้เลย ถ้ายืนยันว่านายทักษิณไม่ได้ป่วยจริง กรุณาออกมาบอกได้เลย
ดังนั้นการที่ถ้าสภามีมติจะลงโทษพักใบอนุญาต ในเรื่องการแถลงข่าวหรือให้ข่าวไม่ตรง ความเป็นจริงดุลพินิจที่จะตรวจสอบแพทย์ด้วยกัน แต่ที่ตนถามว่ากระบวนการที่เกิดขึ้นมันสมเหตุสมผลหรือไม่ ความเห็นของแพทย์เป็นไปตามมาตรฐานของวิชาชีพหรือไม่ สิ่งเหล่านั้นคือกระบวนการตรวจสอบทางวิชาชีพ แต่ข้อเท็จจริงคือป่วยจริง ถ้าใครบอกไม่ป่วยจริง ขอคนที่เป็นแพทย์ออกมาบอก เพราะคนอื่นออกมาบอกอาจจะไม่รู้ หลายคนเคยมาออกทีวีพูดว่าไม่ป่วยจริง เเล้วที่ผ่านมาตนไม่ฟ้องเพราะหลายคนอาจจะไม่ทราบข้อเท็จจริง แต่ถ้าแพทย์ยืนยันว่าไม่ป่วยจริงก็อยากให้ออกมายืนยันเชิญเลยตนไม่ได้ท้า
ส่วนที่ว่าจะเอาประเด็นนี้ ยื่นไปสู่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยหรือไม่ก็ มีนักกฎหมายหลายท่านแสดงข้อคิดเห็นต่อสาธารณะ ในเรื่องของเขตอำนาจศาล ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่นักกฎหมายต้องศึกษาตอนเรียนกฎหมายอยู่เเล้ว ในเรื่องของการขอส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในเรื่องเขตอำนาจศาล เรายังไม่มีเเนวทางชัดเจนว่าจะทำหรือไม่ แต่อย่างน้อยเราก็จะต้องชี้แจงต่อศาลและมีเหตุผลโต้แย้งคำร้องของนายชาญชัย
ในส่วนประเด็นที่ว่า นายทักษิณอาจจะต้องกลับไปติดคุกหรือไม่นั้น ตนไม่ขอมีความเห็นว่าจะต้องกลับไปติดคุกอีกหรือไม่ คดีเราต้องไปดูว่ามันเริ่มต้นจากอะไร สิ้นสุดไปถึงส่วนไหน และมีการปฏิบัติอย่างไร เมื่อเริ่มต้นจากคำพิพากษา นั่นถือว่าเป็นกระบวนการรับโทษ ต่อไปถือว่าเป็นกระบวนการของการบริหารโทษมีกฎหมายใดที่บอกว่าบุคคลใด ผ่านกระบวนการเหล่านั้นแล้ว จะต้องกลับมารับโทษอีก ตรงนี้มันผิดหรือไม่
ดังนั้นการวิพากษ์วิจารณ์และการแสดงความเห็น ตนขอเชิญ ไม่ว่าจะเป็นนักกฎหมายหรือคนที่อวดรู้ ตนเป็นนักกฎหมายคนหนึ่งที่ไม่ได้เก่งกว่าใคร แต่การวิพากษ์วิจารณ์ใครควรอยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริงและไม่มีอคติ
ตนเชื่อว่าการที่ศาลอาญายกคำร้อง ศาลท่านก็ใช้อำนาจของท่านในการตรวจสอบ พิจารณาและเห็นว่า ไม่เหมาะสม ไม่สมควร เราก็ยอมรับ แต่เราจะใช้กระบวนการในการโต้แย้งอย่างไร ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งในอนาคต ทุกอย่างอยู่ภายใต้กฎหมาย
ส่วนที่จะขอไปสหรัฐอเมริกาโดยตรงหรือไม่ ตนยังตอบไม่ได้ ส่วนการทำคำชี้แจงตนเพิ่งได้รับหมาย เดี๋ยวก็ต้องดำเนินการให้ทันตามคำสั่งศาล
ที่ถามว่า นายทักษิณ มีโอกาสจะเดินทางไปไต่สวนวันที่ 13 มิ.ย.นี้หรือไม่ ตนบอกเลยว่า มีโอกาส การไปศาลไม่ใช่เรื่องที่นายทักษิณปฏิเสธ ท่านกลับมาประเทศ ก็พร้อมเข้าสู่กระบวนการรับโทษอยู่แล้ว หมายที่ส่งมาคือหมายนัดให้ส่งคำชี้แจงภายใน 30 วัน อย่างที่บอกถ้าหากชี้แจงไปแล้วศาลยังเห็นว่า ควรจะต้องมีหมายเรียกให้ไปไต่สวนก็ยินดี ท่านก็ไม่ได้ปฏิเสธ ส่วนวันที่ 13 มิ.ย.นี้นายทักษิณจะต้องไปหรือไม่ตนไม่ขอตอบ เป็นอำนาจของศาล
เมื่อถามว่า ที่ถามว่าหนักใจหรือไม่ ตนเชื่อว่า นายทักษิณ ผ่านอะไรมามาก 10 ปีที่ผ่านมาค่อนข้างเยอะ เชื่อว่า ท่านเป็นบุคคลที่เข้มแข็ง รักและห่วงใยประเทศชาติและประชาชน ตนเชื่อว่าท่านผ่านไปได้