svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

เปิดจำนวนชาวไทยพุทธ ชายแดนใต้ พบตัวเลขลดวูบจนน่าตกใจ

เปิดจำนวนชาวไทยพุทธ ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ พบตัวเลขลดวูบจนน่าตกใจ ด้าน กอ.รมน.ไม่ฟันธง แถลงการณ์ BRN ของจริงหรือไม่

6 พฤษภาคม 2568 จากเหตุการณ์ความไม่สงบจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในห้วงเวลานี้ ตั้งแต่เหตุยิง นายอับดุลรอนิง ลาเตะ อายุ 60 ปี ที่ อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส ซึ่งถูกระบุว่าเป็นอดีตอุสตาซ หรือครูสอนศาสนา เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2568 และมีการปล่อยข่าวว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ ก็เกิดปฏิบัติการในลักษณะแก้แค้นเอาคืนตามมา

 

ห้วงเวลาเพียง 15 วัน เรานับรวมเหตุรุนแรงได้ถึง 15 เหตุการณ์ มีผู้เสียชีวิต 11 ราย บาดเจ็บอย่างน้อย 26 คน

 

ที่น่าเศร้าใจก็คือ ใน 15 เหตุการณ์นี้ มีจำนวน 6 เหตุการณ์ที่เป้าหมายของคนร้ายมุ่งไปที่ “กลุ่มอ่อนไหว-เปราะบาง” เป็นชาวบ้านธรรมดาที่ไม่สามารถป้องกันตัวเอง หลายคนยังเป็นหญิงชรา เด็ก และคนพิการทางสมอง กลุ่มนี้เสียชีวิต 6 ราย บาดเจ็บอย่างน้อย 11 คน รวมทั้งพบว่าเป้าหมายของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบคือ ชาวไทยพุทธ

เปิดจำนวนชาวไทยพุทธ ชายแดนใต้ พบตัวเลขลดวูบจนน่าตกใจ

 

หลังเกิดเหตุ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และหัวหน้าพรรคประชาชาติ เดินทางลงพื้นที่ในฐานะตัวแทนรัฐบาล และประชุมร่วมกับหน่วยงานความมั่นคงทุกหน่วย มีการสั่งการให้คุ้มครอง “ชุมชนไทยพุทธ” อย่างเข้มงวดเป็นพิเศษ มีการระบุตัวเลข 59 ชุมชน ใน 8 อำเภอ

 

ตัวเลขนี้มี “นัย” น่าสนใจ เพราะสามจังหวัดชายแดนภาคใต้มีทั้งหมด 33 อำเภอ หากรวมรอยต่อของจังหวัดสงขลาด้วย ก็เป็น 37 อำเภอ แต่มีชุมชนไทยพุทธที่ต้องคุ้มครองเป็นพิเศษเพียง 8 อำเภอเท่านั้น

 

แม้จะรู้กันดีว่า พื้นที่จังหวัดชายแดนใต้มีประชากรส่วนใหญ่เป็นมุสลิม นับถือศาสนาอิสลาม แต่ดินแดนแห่งนี้ถือเป็น “พหุวัฒนธรรม” เพราะมีพี่น้องนับถือศาสนาพุทธ คริสต์ และคนไทยเชื้อสายจีนอีกเป็นจำนวนมาก

 

หากนับเฉพาะศาสนาพุทธ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ร่วมกับ ศอ.บต. เคยสำรวจข้อมูลเอาไว้ว่า พื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส มีวัดและสำนักสงฆ์ รวมถึงที่พักสงฆ์ รวมทั้งสิ้น 248 แห่ง นับว่าไม่น้อยสำหรับเขตปกครอง 33 อำเภอ ฉะนั้นชุมชนคนพุทธจึงควรมีมากกว่านี้

จำนวนชาวไทยพุทธในพื้นที่สีแดง

 

พลเอกนิพัทธ์ ทองเล็ก ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีของ รองนายกฯภูมิธรรม เวชยชัย) และอดีตปลัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งเคยได้รับการวางตัวเป็น “หัวหน้าคณะพูดคุยสันติสุข” คนใหม่ เปิดเผยว่า ช่วงที่ผ่านมาได้ลงพื้นที่พบปะกับพี่น้องประชาชนกลุ่มต่างๆ ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะชุมชนชาวพุทธ และได้รับรายงานข้อมูลน่าตกใจ

 

เปิดจำนวนชาวไทยพุทธ ชายแดนใต้ พบตัวเลขลดวูบจนน่าตกใจ

 

พลเอกนิพัทธ์ หรือ “บิ๊กแปะ” บอกว่า ประชากรใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตัวเลขกลมๆ อยู่ที่ 1.7 ล้านคน ช่วงก่อนเกิดสถานการณ์ความไม่สงบ เคยมีพี่น้องคนพุทธอยู่ประมาณ 3 แสนคน แต่ขณะนี้เหลือไม่ถึง 5 หมื่นคน และไม่ใช่แค่ชุมชนคนพุทธที่ลดน้อยลง แต่วัดก็ร้างอีกเป็นจำนวนมาก

 

สอดคล้องกับตัวเลขที่ได้จาก คุณบุษยมาส อิศดุลย์ ประธานกลุ่มบ้านบุญเต็ม แกนนำสตรีพุทธในพื้นที่ ซึ่งบอกว่า ในพื้นที่มีคนพุทธเหลืออยู่หลักหมื่นคนเท่านั้น ไม่ถึงแสนคนอย่างแน่นอน

 

เปิดจำนวนชาวไทยพุทธ ชายแดนใต้ พบตัวเลขลดวูบจนน่าตกใจ

 

พลเอกนิพัทธ์ ซึ่งได้ร่วมประชุมวงปิดกับพี่น้องคนพุทธ เล่าให้ฟังว่า “พี่น้องในพื้นที่อยู่กันอย่างกดดัน เคร่งเครียด ทุกคนพูดแรง อารมณ์มาเต็ม เช่น พูดกับผมในฐานะตัวแทนรัฐบาล ว่า ภาครัฐไม่คิดจะดูแลพวกเขาเลยหรือ ผู้ใหญ่จากส่วนกลางลงมา มีแต่มาเปิดงาน แล้วก็กลับไป ไม่เคยดูแลคนพุทธ ทุกวันนี้เลือดยังไหลออกไม่หยุด เพราะไม่มีใครดูแลพวกเขา”

 

นอกจากนั้น ยังมีข้อมูลจาก ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ ศอ.บต. ที่ติดตามช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากความไม่สงบในพื้นที่ และย้ายออกจากพื้นที่ เช่น ไปอยู่กับญาติ หรือลูกหลานในจังหวัดอื่น คือไม่ยอมอยู่ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้อีกต่อไป

 

จากข้อมูลที่รวบรวมมาได้เมื่อปี 2566 เฉพาะพื้นที่นำร่องในภาคใต้ 8 จังหวัด 75 อำเภอ พบพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบ อพยพไปอยู่ในพื้นที่ 8 จังหวัดภาคใต้ จำนวน 679 ราย

 

เปิดจำนวนชาวไทยพุทธ ชายแดนใต้ พบตัวเลขลดวูบจนน่าตกใจ

 

ส่วนภาพรวมของตัวเลขเงินเยียวยาที่ ศอ.บต. มอบให้กับทายาทและผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบ ข้อมูล ณ วันที่ 3 มกราคม 2568 มีการจ่ายเยียวยาเหยื่อไฟใต้ไปแล้ว 4,468.8 ล้านบาท เป็นการจ่ายเยียวยาช่วยเหลือด้านชีวิตและร่างกายมากที่สุด 3,411.9 ล้านบาท ที่เหลือ 1,056.8 ล้านบาท เป็นทรัพย์สินที่เสียหาย

 

จากยอดเงินเยียวยา สามารถย้อนกลับไปดูตัวเลขความสูญเสียได้ ประกอบด้วย ผู้เสียชีวิตจากไฟใต้ 5,936 ราย แยกเป็นประชาชนตาดำๆ 3,644 ราย และเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ อส. ฝ่ายปกครอง 2,292 ราย

 

ผู้บาดเจ็บจากไฟใต้ 13,129 ราย แยกเป็นประชาชน 6,442 ราย เจ้าหน้าที่รัฐ 6,687 ราย

 

ในจำนวนนี้มีผู้ที่ต้องกลายเป็นคนพิการ ทุพพลภาพ มากถึง 903 ราย แยกเป็นประชาชน 465 ราย และเจ้าหน้าที่ 438 ราย

 

เปิดจำนวนชาวไทยพุทธ ชายแดนใต้ พบตัวเลขลดวูบจนน่าตกใจ

 

ภาพรวมความรุนแรงรูปแบบต่างๆ เกิดขึ้น 9,948 ครั้ง มีผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ รวมทั้งสิ้น (ทั้งบาดเจ็บ เสียชีวิต ทุพพลภาพ) 19,968 ราย

 

 

สถานการณ์ปัจจุบัน การจัดการปัญหาระยะเฉพาะหน้า คือ หยุดเหตุรุนแรงที่พุ่งเป้าทำร้ายประชาชนกลุ่มอ่อนไหว-เปราะบาง โดยเฉพาะพี่น้องไทยพุทธ

 

ส่วนการจัดการปัญหาในระยะต่อไป มี 2 เรื่องที่ทุกฝ่ายเรียกร้องเหมือนๆ กัน คือ เร่งประกาศยุทธศาสตร์ดับไฟใต้ที่ชัดเจน , เร่งตั้งคณะพูดคุยเพื่อสันติภาพ หรือสันติสุข

 

ในเรื่องยุทธศาสตร์ดับไฟใต้ รองนายกฯภูมิธรรม เวชยชัย สั่งให้ สมช.ไปเป็นเจ้าภาพทบทวน เพื่อปรับทิศทางยุทธศาสตร์ใหม่ให้เป็นเชิงรุก โดยให้สัมภาษณ์เรื่องนี้ครั้งแรกตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม 2568 บอกว่าให้เวลา 30 วัน แต่จนถึงขณะนี้ ยังไม่มีความชัดเจนเรื่องยุทธศาสตร์ฉบับใหม่

 

ส่วนการตั้งคณะพูดคุยสันติสุข แต่เดิม รองนายกฯภูมิธรรม ทาบทาม “บิ๊กแป๊ะ” พลเอกนิพัทธ์ ทองเล็ก ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และอดีตปลัดกระทรวงกลาโหมไว้แล้ว เพราะมองว่ามีคุณสมบัติเหมาะสม มีความรู้ด้านการต่างประเทศ , มีประสบการณ์ร่วมในกระบวนการสันติภาพอาเจะห์ ประเทศอินโดนีเซีย โดยเฉพาะในช่วงของการปลดอาวุธ หยุดยิง , เคยร่วมเป็นแกนนำคณะพูดคุยสันติภาพชุดแรก ที่เป็นการพูดคุยแบบ “เปิดเผย - เป็นทางการ” เมื่อปี 2556 ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

 

โดยการวางตัว “บิ๊กแป๊ะ” มีมาตั้งแต่ก่อนเดือนรอมฎอน คือ ราวๆ 3 เดือนที่แล้ว แต่มีการตกลงกันว่า จะใช้การทำงานแนวใหม่ คือ ไม่ประกาศแต่งตั้งหัวหน้าคณะพูดคุยอย่างเอิกเกริก เพราะที่ผ่านมาตั้งมาแล้ว 5 คน แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ฉะนั้นเรื่องการเปิดตัวจึงไม่จำเป็น แต่จะใช้การทำงานในพื้นที่เป็นหลัก

 

ด้วยเหตุนี้จึงมีการตกลงกันว่า รอให้ผ่าน “รอมฎอนสันติสุข” ไปก่อน ค่อยเปิดตัวอย่างเป็นทางการ แต่ปรากฏว่าเดือนรอมฎอนปีนี้มีเหตุรุนแรงเกิดขึ้นหนักมาก โดยเฉพาะคาร์บอมบ์สุไหงโก-ลก เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2568 สถานการณ์จึงไม่เอื้ออำนวยต่อการประกาศตั้งหัวหน้าคณะพูดคุยฯ และหลังจากนั้นก็มีเหตุรุนแรงต่อเนื่องมา กระทั่งเหตุรุนแรงระลอกล่าสุด ทำให้ทุกอย่างหยุดชะงัก

 

อย่างไรก็ดี สถานการณ์ ณ ปัจจุบัน ตำแหน่งหัวหน้าคณะพูดคุยฯ เริ่มมีความไม่ชัดเจน เนื่องจากมีอีก 1 ชื่อที่ แรงขึ้นมา คือ พลเอกชินวัฒน์ แม้นเดช อดีตรองแม่ทัพภาคที่ 4 ซึ่งเคยศึกษาและจัดทำรายงานเกี่ยวกับโครงสร้างขบวนการบีอาร์เอ็น และมีโอกาสได้เข้าแสดงวิสัยทัศน์ พร้อมแลกเปลี่ยนความเห็นกับอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร ทำให้ชื่อ พลเอกชินวัฒน์ แรงขึ้นมาเป็นคู่ชิง “หัวหน้าคณะพุดคุยคนใหม่”

 

ส่วน “บิ๊กอ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย ว่ากันว่า ยังคงสนับสนุน พลเอกนิพัทธ์ อยู่ แต่เสียงเริ่มอ่อนลงไป เพราะเมื่อผู้นำจิตวิญญาณของรัฐบาลเพื่อไทยยังไม่ตัดสินใจ ก็ไม่มีใครกล้าฟันธง

 

พลเอกนิพัทธ์ ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์กับ “ข่าวข้นคนข่าว” ว่า ตนยังทำงานอยู่อย่างต่อเนื่องในหมวกของ “ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี” โดยได้รับมอบหมายจาก รองฯภูมิธรรม ให้ลงพื้นที่ไปรับฟังความเห็นจากหน่วยปฏิบัติ และประชาชนกลุ่มต่างๆ

 

ยืนยันว่า เรื่องการพูดคุยสันติสุข มีการคุยกันในทางลับอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้หยุดชะงัก และเป็นการพูดคุยกันหลายระดับ เช่น แม่ทัพภาคที่ 4 ก็มีช่องทางพูดคุยของแม่ทัพอยู่เช่นกัน 

 

ส่วนแนวคิดของตนเกี่ยวกับ “กระบวนการพูดคุยสันติภาพ” นั้น ยืนยันในหลักการเดิมว่า ต้องเดิน 2 ขา เหมือนคนมีขา 2 ข้าง กล่าวคือ

 

ขาขวา - บังคับใช้กฎหมาย หรือพูดง่ายๆ ว่าปราบปรามผู้กระทำผิดอย่างเข้มงวด ขาซ้าย - พูดคุยเพื่อหาทางออกร่วมกัน

 

สาเหตุที่ต้องใช้สองขาเดินร่วมกัน เพราะจะทำให้การพูดคุยบนโต๊ะ ฝ่ายรัฐบาลไทยมีไพ่ในมือ สามารถปรามและกดดันคู่เจรจาไม่ให้ก่อเหตุรุนแรงเพื่อกดดันฝ่ายรัฐได้ แต่ต้องยอมรับว่า “ขาขวาของเราวันนี้อ่อนแรง” และเป็นเรื่องแรกที่ต้องแก้ไขโดยด่วนที่สุด

 

อนึ่ง เป็นที่น่าสังเกตว่า แถลงการณ์ที่อ้างว่าเป็นของ BRN เนื้อหาไม่ได้ปฏิเสธอย่างชัดเจนว่า ไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์โจมตีเป้าหมายพลเรือน โดยเฉพาะกลุ่มอ่อนไหวและเปราะบางที่เกิดขึ้น เพียงแต่อ้างว่าไม่มีนโยบายเท่านั้น

 

นอกจากนั้น แถลงการณ์ยังย้ำจุดยืนซึ่งเป็นเป้าหมายที่แท้จริงของ BRN คือการมุ่งไปสู่การใช้สิทธิในการกำหนดอนาคตตนเองของประชาชนในพื้นที่ ซึ่งพวกเขาเรียกว่า “ประชาชนปาตานี” ซึ่งปลายทางอาจหมายถึง “รัฐเอกราช” ก็เป็นได้ ซึ่งเป็นวิถีทางที่ไม่ได้อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญไทยอย่างชัดแจ้ง

 

สำหรับ “สิทธิในการกำหนดใจตนเอง” หรือ “สิทธิในการกำหนดอนาคตตนเอง” ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Right to Self-determination ปรากฏเป็นครั้งแรกในมติของสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติที่ 1514 (XV) ลงวันที่ 14 ธันวาคม 1960 เรื่อง "การให้เอกราชแก่ดินแดนอาณานิคม" (Declaration on the Granting of Independence to Colonial Countries and Peoples) โดยมีข้อความที่กำหนดไว้ใน มาตรา 1.1 ของมติที่ 1514 กล่าวว่า "กลุ่มชนทั้งปวงมีสิทธิในการกำหนดใจตนเอง โดยสิทธิดังกล่าวพวกเขามีเสรีภาพในการตัดสินใจในสถานะทางการเมือง และดำเนินการพัฒนาทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของตนเองได้อย่างเสรี"

 

ผลของมติที่ 1514 นี้ ทำให้การดำเนินการปลดปล่อยอาณานิคมประสบความสำเร็จ อาณานิคมทั้งหมดต่างได้รับอิสรภาพและได้รับเอกราช จนทำให้หลักการในเรื่องนี้เป็นที่ยอมรับกันทั่วไป แต่ต่อมาสิทธิในการกำหนดใจตนเองได้ถูกนำไปใช้ในกรณีอื่นๆ ที่ไม่ใช่การให้เอกราชแก่ดินแดนอาณานิคมด้วย เช่น การกล่าวอ้างสิทธิของชนกลุ่มน้อยต่างๆ (Minority groups) ที่ต้องการแยกตัวเองออกเป็นรัฐอิสระ นอกจากนั้นสิทธิในการกำหนดใจตนเองยังถูกใช้ในกรณีสิทธิมนุษยชน เช่น สิทธิของชนพื้นเมืองดั้งเดิมด้วย

 

แหล่งข่าวจากกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) กล่าวว่า แถลงการณ์ที่ออกมายังดูน่าสงสัยว่าเป็นของจริงหรือไม่ จึงต้องตรวจสอบกับข้อมูลแหล่งต่างๆ อย่างชัดเจนอีกครั้ง

 

ด้าน พล.ท.สุรเทพ หนูแก้ว หรือ “บิ๊กจ้อย” ผู้อำนวยการศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ 5 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (ศปป.5 กอ.รมน.) กล่าวกับ “ทีมข่าวอิศรา” ว่า ภายในขบวนการ BRN มีความขัดแย้งกัน และผลที่ออกมาก็คือ ปฏิบัติการที่กระทำกับเป้าหมายอ่อนแอ-เปราะบาง ฉะนั้นหากฝ่ายเราตั้งหลักดีๆ จะสามารถรุกกลับฝ่าย BRN ได้

 

พล.ท.สุรเทพ ซึ่งเป็นอดีตนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 26 รุ่นเดียวกับ พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก บอกอีกว่า ขณะที่ ผบ.ทบ.ได้สั่งการให้ตนลงพื้นที่ เพื่อเร่งประสานการปฏิบัติระหว่างกองกำลังฝ่ายความมั่นคง กับกองกำลังภาคประชาชน โดยเฉพาะ อส. เพื่อให้ดูแลความปลอดภัยในพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนั้่น ผบ.ทบ.จะลงพื้นที่ชายแดนใต้ในวันที่ 7-8 พ.ค. 2568 นี้ เพื่อติดตามสถานการณ์และมอบนโยบายกับฝ่ายทหาร ตลอดจนหน่วยกำลังที่ขึ้นบังคับบัญชากับ กอ.รมน.ด้วย