
27 กุมภาพันธ์ 2568 "นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ" หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วย สส.พรรคร่วมฝ่ายค้าน ที่เข้าชื่อกัน 166 รายชื่อ เพื่อยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาลตามรัฐธรรมนูญมาตรา 151 ต่อ "นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา" ประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งจะเป็นการอภิปราย และลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีเพียงบุคคลเดียว
แต่ยืนยันว่า เนื้อหาการอภิปราย จะครอบคลุมทุกมิติ หลายกระทรวง หลายพรรคร่วมรัฐบาล และเชื่อว่า ปัญหาการบริหารราชการแผ่นดิน เกิดขึ้นจากการจัดตั้งรัฐบาลที่ผ่านมา ที่นายกรัฐมนตรี ขาดภาวะผู้นำไม่สามารถควบคุมเสียงพรรคร่วมรัฐบาลได้ ขาดเจตจำนงในการบริหารราชการแผ่นดินที่แก้ปัญหาให้แก่ประเทศ และประชาชน ไม่มีความรับผิดชอบต่อตำแหน่งหน้าที่ บริหารเศรษฐกิจล้มเหลว แต่งตั้งบุคคลที่เขาขอมาให้เป็นรัฐมนตรี ยอมให้ผู้ใต้บังคับบัญชามีอำนาจเหนือตน และยินยอมให้บิดา ชักนำ จูงใจ มีส่วนเกี่ยวข้องการบริหารราชการแผ่นดินได้ และมีการทุจริต คอร์รัปชัน ซึ่งทุกปัญหาเกิดจาก "นายกรัฐมนตรี" ที่ไม่สามารถควบคุมเสียงรัฐบาล จากการจัดตั้งรัฐบาลข้ามขั้วผสมพันธุ์ได้ ดังนั้น ฝ่ายค้าน จึงเห็นว่า ไม่มีประโยชน์ที่จะอภิปรายรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล เพราะปัญหาทั้งหมดอยู่ที่ตัวนายกรัฐมนตรี ที่จะต้องตอบชี้แจงเพียงคนเดียว
ส่วนการยื่นอภิปรายนายกรัฐมนตรี เป็นความตั้งใจของฝ่ายค้านแต่แรก หรือเป็นเพราะข้อสอบรั่วจึงทำให้ต้องมีการเปลี่ยนแผนนั้น ผู้นำฝ่ายค้านฯ ยืนยันว่า ตั้งใจอภิปรายนายกรัฐมนตรีแต่แรก และที่ข้อสอบรั่วนั้น เป็นเพียงกระแสข่าว ไม่ใช่ข้อเท็จจริงเพราะฝ่ายค้าน มีการหารือกันมาตลอด
"ผู้นำฝ่ายค้านฯ" ยังกล่าวถึงกระแสวิพากษ์วิจารณ์ที่การอภิปรายไม่ไว้วางใจฯ ฝ่ายค้านยื่นอภิปรายนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียวเป็นการอุ้มพรรคร่วมรัฐบาลอื่นว่า เรื่องดังกล่าว เป็นแค่การวิเคราะห์ทางการเมือง แต่ขอให้ติดตามเนื้อหาการอภิปราย ที่ฝ่ายค้านจะอภิปรายครอบคลุม ตรงไปตรงมาตามข้อเท็จจริง ครอบคลุม เพียงแต่การลงมติไม่ไว้วางใจ จะลงมตินายกรัฐมนตรี เพราะเชื่อว่า ปัญหาทั้งหมดเกิดจากจากจัดตั้งรัฐบาลเช่นนี้ และนายกรัฐมนตรีที่ไม่สามารถผลักดันเจตจำนงประชาชนได้
ส่วนการยื่นอภิปรายนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียว จะถือเป็นการประกาศศึกกับพรรคเพื่อไทยหรือไม่นั้น"ผู้นำฝ่ายค้านฯ"ย้ำว่า แม้จะอภิปรายนายกรัฐมนตรีคนเดียว แต่เนื้อหาครอบคลุม การอภิปรายจะสามารถสะท้อนปัญหาได้ แต่การลงมติพุ่งเป้าที่นายกรัฐมนตรี และไม่อยากให้มองว่ามีความขัดแย้ง เพราะเป็นการตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาตั้งแต่มีการจัดตั้งรัฐบาลข้ามขั้ว ที่ไม่สามารถผลักดันเจตจำนงค์ประชาชนได้ แต่ใช้ในการต่อรองผลประโยชน์ทางการเมือง ซึ่งเป็นสาเหตุที่ต้องพุ่งเป้าไปที่นายกรัฐมนตรีว่า เป็นผู้นำรัฐบาล ที่สามารถควบคุมเสียงได้จริงหรือไม่
ส่วนการอภิปรายจะสามารถอภิปรายพาดพิงถึงนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีได้หรือไม่นั้น "ผู้นำฝ่ายค้านฯ" ชี้แจงว่า ในตัวญัตติได้มีการเขียนไว้ชัดเจน แต่ต้องขึ้นอยู่กับการตรวจสอบของประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งหากบรรจุญัตติได้ตามที่ฝ่ายค้านระบุ ก็จะสามารถอภิปรายถึงนายทักษิณ ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญของประเทศได้ในปัจจุบัน
ส่วนตามญัตติมีการกล่าวหาถึงการทุจริต จะมีการดำเนินการยื่นถอดถอนต่อหลังจากนี้ด้วยหรือไม่นั้น "ผู้นำฝ่ายค้านฯ" เปิดเผยว่า หลังการลงมติในสภา สามารถดำเนินการอื่น ๆ ต่อได้ เหมือนที่พรรคก้าวไกล เคยยื่น ป.ป.ช.ตรวจสอบ"นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ"อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และการอภิปรายครั้งนี้ เนื้อหาก็ครอบคลุมหลายกระทรวง ก็สามารถนำไปสู่การตรวจสอบอื่น ๆ ได้ในอนาคต
"และในอดีตก็เคยมีการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ"นายกรัฐมนตรี"เพียงคนเดียว และมีการยุบสภาตามมา" นายณัฐพงษ์ กล่าว
ทั้งนี้ ผลคะแนนการลงมติไม่ไว้วางใจในครั้งนี้ จะมีนัยยะทางการเมืองอย่างไรหรือไม่นั้น "ผู้นำฝ่ายค้านฯ" เปิดเผยว่า ในเชิงการเมืองจะสามารถพิสูจน์ได้ว่า นายกรัฐมนตรีสามารถควบคุมเสียงพรรคร่วมรัฐบาลได้มากน้อยเพียงใด ซึ่งสามารถเกิดแรงกระเพื่อมในพรรคร่วมรัฐบาลได้ แม้ขาดไปเพียงเสียงเดียว
"ผู้นำฝ่ายค้านฯ" ยังกล่าวถึงความคาดหวังกรอบระยะเวลาในการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้ว่า แม้จะอภิปรายนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียว แต่กรอบอภิปรายตามญัตติมีหลายประเด็น และที่ผ่านมาการอภิปรายในสภาฯ ชุดที่แล้วใช้เวลาขั้นต่ำ 4 วัน ในครั้งนี้ก็เช่นกัน เพราะยิ่งฝ่ายค้านให้เวลาฝ่ายค้านอภิปรายมาก ก็จะเป็นโอกาสให้นายกรัฐมนตรีได้พิสูจน์ตัวเอง