รศ.ดร. ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ร่วมพูดคุยถึงอนาคตการเลือกตั้งปี 2570 ในรายการคมชัดลึก สัมภาษณ์โดย คุณวราวิทย์ ฉิมมณี
วราวิทย์: หลังจากจบศึกเลือกตั้งนายก อบจ. 47 จังหวัด ผลการเลือกตั้งก็เป็นที่ทราบกันตั้งแต่คืนวันเสาร์ โดยเฉพาะพรรคประชาชนที่เมื่อปี 2563 ลงสนามเลือกตั้งท้องถิ่นครั้งแรกในนาม "คณะก้าวหน้า" ไม่ได้เลยแม้แต่จังหวัดเดียว พอปี 2566 เลือกตั้งใหญ่ ได้มาเป็นอันดับที่ 1 ก็มีความคาดหวังว่าเลือกตั้ง อบจ. ปี 2568 จะปักธงได้
สุดท้าย พรรคประชาชนได้มา 1 จังหวัด ซึ่งขึ้นอยู่กับการตีความว่าเป็นความล้มเหลวหรือความสำเร็จ วันนี้จะมาวิเคราะห์กัน รวมถึงมองไปข้างหน้าถึงการเลือกตั้งปี 2570 ว่าผลจาก อบจ. ที่ผ่านมา จะสะท้อนภาพอย่างไรบ้าง วันนี้คุยกับ รองศาสตราจารย์ ดร. ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า
วราวิทย์: 1 ที่นั่งที่ได้มา อาจารย์ตีความว่าเป็นความล้มเหลวหรือความสำเร็จครับ?
ปิยบุตร: ถ้าพูดแบบเป็นวิทยาศาสตร์ ไม่ใช้ความรู้สึกนะครับ รอบนี้พรรคประชาชนส่งผู้สมัครใน 17 จังหวัด และก่อนหน้านั้นมีอีก 3 จังหวัด รวมเป็น 20 จังหวัด ผลคือ ชนะ 1 แพ้ 19 ซึ่งก็คือแพ้เป็นหลัก การเลือกตั้งถือว่าไม่ประสบความสำเร็จ
แต่ถ้าดูจากตัวคะแนนอย่างละเอียด คะแนนของพรรคยังคงทรงตัว ไม่ได้ลดลงอย่างน่าเกลียด ยังมีนัยยะสำคัญ แต่ในจังหวัดที่พรรคมี ส.ส. เต็มจังหวัด ก็อาจคาดหวังว่าคะแนนจะเยอะกว่านี้ หรือชนะนายก อบจ. ได้บ้าง ซึ่งสุดท้ายก็ไม่เป็นเช่นนั้น
สิ่งสำคัญคือ พรรคประชาชนควรใช้โอกาสนี้แสดงให้เห็นว่า "การบริหารแบบใหม่" เป็นอย่างไร เพราะตั้งแต่พรรคอนาคตใหม่ ก้าวไกล จนถึงประชาชน พรรคยังไม่เคยได้รับโอกาสบริหารอำนาจรัฐเลย ครั้งนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญ เนื่องจาก นายก อบจ. ที่ได้มา จะมีงบประมาณบริหารปีละประมาณ 400 ล้าน
ทุกสายตาจะจับจ้องว่า สิ่งที่เคยหาเสียงไว้ สามารถทำได้จริงหรือไม่ ถ้าทำได้สำเร็จ จะเป็นโมเดลสำหรับการเลือกตั้งท้องถิ่นครั้งต่อไป หรือแม้แต่การเลือกตั้งระดับชาติ
วราวิทย์: ผลมันตรงกันข้ามเลยนะครับอาจารย์ ถ้าทำได้ แต่ถ้าทำไม่ได้ ก็จะกลายเป็นจุดอ่อนทันที
ปิยบุตร: ใช่ครับ แต่ถ้าทำไม่ได้ ก็จะกลายเป็นจุดอ่อนทันที เพราะฝ่ายตรงข้ามของพรรคประชาชนก็กำลังจับตามองลำพูน ว่าจะทำได้ดีจริงหรือไม่
ปิยบุตร: แน่นอนครับ พรรคประชาชนเจอกับ "ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร" ตลอดเวลา ฝ่ายตรงข้ามจะพยายามขยายข่าวขยายความทุกเรื่อง ดังนั้น พรรคต้องมีการสื่อสารกับประชาชนอย่างสม่ำเสมอ ไม่ใช่แค่ในลำพูน แต่ต้องสื่อสารกับทั้งประเทศ ถ้าพรรคเงียบ รอจนมีผลงานแล้วค่อยแถลงข่าว ฝ่ายตรงข้ามจะเดินหน้าดิสเครดิตไปเรื่อยๆ พรรคต้องหมั่นแถลงให้ประชาชนเข้าใจว่า
วราวิทย์: เพราะพรรคประชาชนเป็นฝ่ายค้าน ไม่ใช่พรรครัฐบาล?
ปิยบุตร: ใช่ครับ และที่ผ่านมาพรรคเคยทำงานในระดับเทศบาลตำบล ซึ่งยังไม่ได้เจอแรงกดดันมาก แต่ครั้งนี้เป็น ระดับจังหวัด และลำพูนอยู่ติดกับเชียงใหม่ ซึ่งนายก อบจ. เป็นพรรคเพื่อไทย และอยู่มาสองสมัย ถ้าลำพูนสามารถแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างในการบริหารได้ และคนลำพูนรู้สึกว่ามันเปลี่ยนไปจริงๆ นี่จะเป็น เอฟเฟกต์โดมิโน ที่ส่งผลไปยังจังหวัดอื่นๆ
วราวิทย์: สรุปแล้ว ถ้าวัดจาก 20 ได้มา 1 ก็ต้องยอมรับว่าแพ้
ปิยบุตร: ใช่ครับ ไม่มีใครเถียงได้ แพ้ 19
วราวิทย์: แต่ 1 ที่ได้มา ต้องแสดงผลงานให้ดี เพราะฝ่ายตรงข้ามก็รอจับผิด
ปิยบุตร: ถูกต้องครับ และลำพูนต้องเป็นต้นแบบให้ได้ เพื่อใช้เป็นโมเดลในการเลือกตั้งครั้งต่อไป
วราวิทย์: อาจารย์ก็ลงไปช่วยหาเสียงด้วยใช่ไหมครับ?
ปิยบุตร: ใช่ครับ และต้องบอกว่าคนที่ได้รับเลือกตั้งอย่าง คุณวีรเดช ผู้พิสิต นั้น เป็นสมาชิกพรรคตั้งแต่ยุคอนาคตใหม่ สมัครเอง สนับสนุนพรรคเอง และทำงานมาตั้งแต่ต้น คุณชัยวัฒน์ ตุลาธน (รองเลขาธิการพรรคในขณะนั้น) ได้คัดเลือกบุคคลที่สนใจพรรคทั่วประเทศ แล้วไปพบกับคุณวีรเดชที่ลำพูน ซึ่งเขาก็เข้ามาช่วยบริหารจัดการในพื้นที่ และยังเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญมาตลอด
วราวิทย์: คุณวีรเดชตกลงแกถือว่านิยามบ้านใหญ่ไหม
ปิยบุตร: เอา เอาตัวบุคคลของตัวคุณวีระเดช ภู่พิสิฐก่อนนะครับ คนเนี้ยเริ่มต้นเข้ามาพักตั้งแต่สมัยอนาคตใหม่ พรรคอนาคตใหม่เปิดตัวแล้วเขาก็สมัครออนไลน์เข้ามาแล้วก็ร่วมบริจาคสนับสนุนพรรคเข้ามา ทีนี้รองเลขาธิการพรรคในเวลานั้นคือคุณชัยธวัฒน์ ตุลาธน เขาก็ไปเอาฐานข้อมูลทั้งหมดว่าจังหวัดไหนมีใครที่สนใจเราติดต่อเรามาสมัครสมาชิกหรือบริจาคซื้อสินค้าของเรา หรือลงชื่อว่าอยากเข้ามาเป็นแชแนวร่วมกับพวกเราก็ไปตามหา
คุณชัยวัฒน์ก็เลยโทรศัพท์ไปหา วีระเดช ภู่พิสิฐ แล้วเขาก็เดินทางไปลำพูนแล้วก็นัดเจอกัน
คุณวีรเดชก็เข้ามาทำงานในพรรค คุณวีรเดชก็เข้ามาอยู่เบื้องหลังนะครับ ตั้งแต่เริ่มต้นก็คือเข้ามาบริหารจัดการที่ลำพูนนะครับวางผู้สมัคร เอ่อต่างๆ นะครับแล้วก็ตอนที่เขาแต่งงานเนี่ยผมเ ก็เชิญผมไปเป็นประธานงานแต่ง ที่เชียงใหม่ หลังจากนั้นมีการเลือกตั้งซ่อมเขตของคุณศรีนวล บุญลือ ถ้าจำกันได้ คุณชัยธวัช ตุลาธน กับก็ร่วมมือกับคุณวีรเดชเป็นคนเป็นผู้อำนวยการเลือกตั้งซ่อมที่เขต 8 ที่เชียงใหม่ต่ออนาคตใหม่
ดังนั้นเขาอยู่กับเรามานานพอมารอบปี 66 นะครับเขาก็เดินทางไปต่อกับพรรคก้าวไกลนะครับ เขาก็พูดชัดเจนว่าเค้าไม่เอา เขาไม่ลงสส. เค้าตั้งใจจริงๆ เรื่องนายก อบจ.
วราวิทย์: อ๋อ
ปิยบุตร: วางแพลนตั้งแต่แรก เรื่องนี้มานะครับ ก็ไม่ลงนะครับแล้วก็สนับสนุนคนอื่นๆ ลงก็สร้างพรรคมาด้วยกันทีนี้พอมารอบเนี้ยถึงแม้กระทั่งเขาเป็นคนข้างใน ที่เริ่มตั้งแต่อนาคตใหม่เขาก็ต้องสมัครเข้ามาสู่ระบบออนไลน์สมัครเข้ามาสู่ระบบออนไลน์ก็มีคู่แข่งขันเขานะครับ มีแข่งเข้ามา ผมถามผู้อำนวยการเลือกตั้งท้องถิ่นก่อนที่จะมารายการนี้ เขาบอกว่ามีคะแนนเข้ามา 2 ราย
แล้วก็คุณวีรเดชชนะไปนิดนึง กรรมการบริหารให้ชนะไปนิดนึงนะฮะแล้วแข่งแล้วชนะก็ต้องเข้าการอบรมของพรรคหลักสูตรอุดมการณ์อุดมคติแนวทางการทำนโยบายต่างๆ คนอื่นที่เริ่มมาตั้งแต่ Day one ก็ไม่มีช่องทางพิเศษ เข้าระบบตามปกติด้วยกันทั้งหมด ดังนั้นตรงนี้มันจะเป็นคำตอบได้ว่าเวลาเรานิยามว่าคนๆ ไหนเป็นนักการเมืองจากบ้านใหญ่เนี่ยผมว่าถกเถียงกันเรื่องเนี้ยมันกำลังถกเถียงกันว่าบ้านใหญ่ดีไม่ดีอย่างไร อันนี้พักไว้ก่อนผมก็ต้องนิยามคำว่า
วราวิทย์: เดี๋ยวๆ ผมจะให้อาจารย์นิยามคำว่าบ้านใหญ่เพราะว่าครั้งนี้ก็ถูกมองว่าบ้านใหญ่ก็กวาดเรียบแต่เอาเป็นว่าที่มาที่ไปของคุณวีรเดชแม้ว่าจะนามสกุลภู่พิสิฐ เป็นลูกของอดีตนายก อบจ. ลำพูนแต่แกก็มาด้วยแบบ แบบออร์แกนิคเลย
ปิยบุตร: ก็เดินเข้ามา สมัครเข้ามาปกติ พอเราเห็นว่าเป็นเครือข่ายทางภาคเหนือคุณชัทธวัฒนก็ไปพบตั้งแต่ช่วงก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ คือไม่ได้รู้จักกันมาก่อนนะครับแล้วก็ไม่ใช่แบบประเภทแบบฉันมีเครือข่ายที่ลำพูนเสร็จแล้วก็มาเจรจากับแกนนำ เฮ้ยขอยกพรรคพวกเราเข้าไปนะไม่ใช่แบบนี้แต่มันเป็นลักษณะที่เจ้าตัวสนใจแนวทางของพรรคอนาคตใหม่
วราวิทย์: อ่ะถ้าคุณวีรเดชมาแบบธรรมชาติจริงแล้วอาจารย์คิดว่าที่ ที่แกชนะได้เนี่ยเพราะพรรคหรือเพราะตัวคุณวีรเดช
ปิยบุตร: คือผมเคยพูดในหลายรายการอาจจะเคยพูดในรายการคุณวราวิทย์ด้วย การส่งผู้สมัครนายก อบจ. เนี่ยมันต้องเป็นการผสมผสานนะครับ ครั้งก่อนผมจำได้ว่าผมเคยยกตัวอย่างกรณีคุณคณิศร ที่อุดรธานีคือการส่งผู้สมัคร นายก อบจ. เนี่ยมันไม่ใช่คือการเมืองไทยวัฒนธรรมการเมืองมันยังไม่เปลี่ยน 100%
เรามองจากสายตาคนชั้นกลางเรามองจากสายตาคนในเมืองเนี่ยเรามองเข้าไปเราก็จะบอกว่าโหผู้สมัครคนนี้สุดยอดวิสัยทัศน์ดีมีความรู้เป็นนักวิชาการพรีเซนต์เก่งนี่เรามองในมุมเราแต่มองในมุมของคนในพื้นที่เขาอาจจะอยากเห็นคนอีกแบบคนที่เขาเคยเห็นหน้าบ้างคนที่มาเดินบ่อยๆคนที่มีบุคลิกภาพแบบคุยกับพี่น้องประชาชนรู้เรื่องหรือแม้กระทั่งคนที่บริหาร สจ. เป็น คือบริหารทีมเป็นอย่างนี้เป็นต้นนะครับ
ดังนั้นมันต้องมีผสมผสานบางคนอาจจะเป็นบุคลิกภาพที่ อุดมการณ์พรรค สูงปี๊ดเลย กรีดเลือดมานี่ส้มปิ๊ดเลยแต่ปรากฏว่า เอ้าเดินงานการเมืองท้องถิ่นไม่เป็นแต่บางคนเดินงานการเมืองท้องถิ่นเก่งมากเลยแต่ในขณะเดียวกันโอ้โหเฮ้ยไม่รู้จักพรรคนี้หรอกเข้ามาเพราะว่า กระแสมันมาเว้ยขอชื่อพรรคอาศัยลงนะ แบบใดแบบหนึ่งมันก็ไม่ได้ทั้งคู่มันต้องผสมผสานซึ่งรอบที่แล้วทางอุดรธานีเนี่ย ผมมีความเห็นว่าของคุณคณิศร เขาเป็นการเมืองท้องถิ่นเขาผ่านสนามการเมืองท้องถิ่นเป็นอดีตรองนายก อบจ. แล้วก็เคยทำงานการเมืองท้องถิ่น
ตอนเราไปหาเสียงเราก็จะรู้เลยรู้จักหมด อะไรเป็นอะไรนะครับ แต่ในขณะเดียวกันเขาเข้ามากับพรรคโดยใช้โดยใช้วิธีการเหมือนของวีรเดชเนี่ยแหละ สมัครตั้งแต่เริ่มต้นนะครับ
จริงๆ คุณคณิสรนี่ขอลงตั้งแต่ 63 นะ แต่ไม่ผ่าน ไม่ได้ลงเค้าก็ไม่เป็นไรเค้าก็ไม่ออกเค้าก็อยู่ต่อแล้วก็สู้ต่อจนมีพรรค จะชวนให้ไปลง สส. ก็ไม่เอาเพราะจะลงอุดรนะครับตอนปี 66 เข้ามาปุ๊บผ่านกระบวนการอะไรทั้งหลายทั้งปวงทั้งหมดแล้วก็อยู่ด้วยกันจนรู้แล้วว่าวัฒนธรรมองค์กรมันเป็นแบบนี้ดังนั้นถ้าต้องการหาผู้สมัครนายก อบจ. ในช่วงระยะเปลี่ยนผ่านแบบเนี้ยผมคิดว่ามันต้อง ผสมผสานทั้ง 2 อย่าง คือรู้จักงานการเมืองท้องถิ่นในขณะเดียวกันคุณก็มีความเป็นนักบริหารคุณรู้ว่านโยบายต้องทำอะไรไม่ใช่เข้าไปหาเงินทอนกันอย่างเดียวแล้วก็คุณก็มีความคิดอุดมการณ์แนวทางเดียวกับพรรคอยู่กับพรรคจนรู้จักวัฒนธรรมองค์กรของพรรค
วราวิทย์: ก็ผสมผสาน
ปิยบุตร: ผสมผสานกัน
วราวิทย์: อาจารย์เวทน้ำหนักสัก 50-50 ความเป็นพรรคกับความเป็นตัวคุณวีรเดชเอง
ปิยบุตร: คือคนเราเนี่ยมันเลือกไม่ได้หรอกครับว่าเกิดมาจากครรภ์มารดาของใครนามสกุลอะไรนะครับแต่ เลือกที่จะเป็นได้ว่าเขาอยากเป็นแบบไหนถ้าเกิดสมมุติว่าวีระเดช ภู่พิสิฐ เป็นลูกของโกเก๊า อดีตนายก อบจ. ลำพูน ถ้าเกิดคุณคณิศร เคยเป็นรองนายก อบจ. ของตระกูลธีระรัตนานนท์เดิมในอดีต และเพียงเท่านี้เท่ากับว่าชีวิตนี้เขาไม่สามารถเดินเส้นทางการเมืองแบบพรรคประชาชนได้เลยผมว่าก็ไม่แฟร์กับเค้า 2 คน
ปิยบุตร: ถ้าเกิดเขาคิดแบบใหม่จริงๆ ถ้าเกิดเค้าคิดแบบใหม่แล้วจริงๆ เค้าคิดแบบแบบที่พรรคประชาชนคิดแล้วจริงๆ เนี่ยมันก็ต้องมีโอกาสในการเข้ามาแสดงตัวพิสูจน์นะครับแล้วก็ใช้วัฒนธรรมองค์กรอยู่ด้วยกันนะ
วราวิทย์: คือที่ลำพูนที่ชนะนะ โซนที่แพ้บ้างอาจจะไม่ต้องพูดเป็นภูมิภาคก็ได้นะอาจารย์ ภาคตะวันออก ปริมณฑลเกิดอะไรขึ้นอาจารย์วิเคราะห์ยังไง
ปิยบุตร: ผมคิดว่าคนทั่วๆไปทุกคนที่วิเคราะห์กันเนี่ยส่วนใหญ่ก็จะไปพูดกันจากปัจจัยข้างนอกใช่ไหมครับว่า
ปัจจัยทุกคนเห็นกันหมดนะซึ่งถามว่ามันกระทบไหมกับหลายจังหวัดที่แพ้ผมว่ามันกระทบอยู่แล้ว ก็ตัวอย่างง่ายๆ จังหวัดไหนใช้สิทธิ์เลือกตั้งสูงโอกาสชนะก็สูงตามแต่ถ้าใช้สิทธิ์เลือกตั้งน้อยโอกาสชนะก็น้อย มันเป็นมันเป็นสิ่งที่พรรคไม่สามารถไปร้องแรกแหกกระเชอ ที่ไหนได้มากกว่านี้ โอเคคุณก็พยายามไปกดดัน กกต. ให้จัดการเลือกตั้งไปแก้กฎหมายให้มีการเลือกตั้งล่วงหน้าอะไรก็ว่าไปแต่มันร้องแร่แหกกระเชอมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว
เพราะยังไงเสียมันก็อยู่ในสนามนี้ ทุกคนก็กติกานี้เหมือนกันแล้วก็ไม่ว่ากติกามันเป็นอย่างไร คุณก็จะแบกรับความเสียเปรียบตรงนี้ไปอยู่แล้วดังนั้นมันต้องเติมเรื่องอื่น
วราวิทย์: เลิกโทษพวกนี้ได้แล้ว
ปิยบุตร: ก็มันอาจจะคิดกันภายในใจได้ถูกมั้ยครับ
วราวิทย์: ควบคุมอะไรไม่ได้
ปิยบุตร: มันควบคุมอะไรไม่ได้ ทำได้อย่างเดียวผลักดันการแก้กฎหมาย ให้มีการเลือกตั้งล่วงหน้าแล้วก็อย่าให้เลือกวันเสาร์อะไรก็ว่าไป แต่ที่เหลือ มันต้องแก้ที่ตัวเรา ผมคิดว่าส่วนหนึ่งรอบเนี้ย จะเป็นการถอดบทเรียนของพรรคก็ได้ว่าในอนาคตถ้าจะเอาเลือกตั้ง อบจ. นะไม่นับ สส. 70 นะเอา อบจ. 72 เนี่ยจะเอาให้มากกว่าเดิม เอาสัก 5 ที่อย่างนี้ อยากจะได้สัก 5 อบจ. มาทำให้ดูทีละ 1 ที่ ตามที่เลขาธิการพรรคเคยพูด ผมว่ามันต้องเริ่มคิดตั้งแต่วันนี้เลยว่าจะออกแบบการเลือกตั้ง อบจ. 72 แบบไหน
ในความเห็นของผมเนี่ย รอบนี้มันเปิดแบบเยอะ จังหวัดนี้อยากส่งจังหวัดนั้นไม่อยากส่งเลยต่างๆ เปิดไว้เยอะแล้วเปิดเยอะแต่ว่าผู้สมัครได้มาช้าก็มี เพราะมันควานหาไม่เจอกว่าจะได้ผู้สมัครปุ๊บลงไปเดินหน้างานเนี่ยแป๊บเดียวเองในขณะที่คู่แข่งเขาอยู่มาแล้ว
4 สมัยนะ เขา อยู่กันจนชินนะครับในขณะเดียวกันคะแนนของเราที่ต้องการเติมจากคนที่ไม่ใช่คะแนนจัดตั้งก็ดันติดไม่มีเลือกตั้งล่วงหน้าอีกไม่มีเลือกตั้งวันเสาร์อีกอะไรต่างๆ มันต้องปรับเรื่อง ยุทธศาสตร์การส่ง อบจ. ในความเห็นผมนะ รอบนี้ภารกิจคือ 1 ที่ลำพูนทุ่มสรรพกำลังไปให้เต็มที่
ปิยบุตร: ให้คนเห็นความแตกต่างให้ได้ แต่ในขณะเดียวกัน ปัญหาภายในพรรคเกี่ยวกับการมองว่าเลือกตั้ง อบจ. ต้องถอดบทเรียนกัน
ปิยบุตร: ผมคิดว่าคณะยุทธศาสตร์พรรคทั้งหมด คุณต้องวิเคราะห์ Data ความเป็นจริงทางวิทยาศาสตร์เลยแล้วก็บอกมาเลยว่า 72 10 จังหวัดหรือ 15 จังหวัดไม่เกินนี้พอ ห้ามเกินนี้เพราะเกินกว่านี้มันเป็นไปไม่ได้
1.คุณจะไปหาเสียงได้ยังไง 2 คุณคุมเขาอยู่ไหม อย่าลืมนะว่าพวกนี้เขาไม่ต้องสังกัดพรรคก็ได้นะเขาได้เป็นปุ๊บ เขาลาออกเลยก็ได้นะ ดังนั้นเอา 10 - 15 แล้วคัดมาตั้งแต่แรกเลยเอาจังหวัดไหนแล้วทุ่มสรรพกำลังตั้งแต่วันนี้หาผู้สมัครตั้งแต่วันนี้ไม่ใช่แบบเอ๊ะวันนี้อยากเปิดวันนั้นอยากเปิดวันนี้มีคนขอเข้า แล้วมันก็จะนำมาซึ่งความขัดแย้ง
วราวิทย์: อันนี้ทุกจังหวัดที่อาจารย์หมายถึงที่แพ้ไปถอดบทเรียน ต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้
ปิยบุตร: ยกตัวอย่างเช่น สมมติสมุทรปราการ
วราวิทย์: ครับ
ปิยบุตร: แพ้ไปใช่ไหมครับ แล้วก็มีความคาดหวังสูงมากว่าวันนึงต้องได้สักครั้งหนึ่งแหละ นะฮะ ถ้าผู้สมัครรายนี้จึงยืนยันว่าอยากเดินหน้าทำงานต่อแล้วทำงานที่ผ่านมาตลอดช่วงหาเสียงเข้าขากันเป็นอย่างดีความขัดแย้งไม่มีเลย ความขัดแย้งภายในพรรคไม่มี ทุกคนช่วยกันเต็มที่ มันแค่แพ้ไปหน่อยเดียว อย่างี้ 4 ปีหน้าคุณลงเลยคุณก็ตั้งใจเลยว่าเฮ้ยยังทำต่อ วางแพลนเลยครับเดินตั้งแต่วันนี้ จะกลายเป็นเงาของนายก อบจ. สมุทรปราการ สมมติถ้าเขาจะลงต่อนะคนนี้ก็ทำหน้าที่เป็นเงาของนายกสมุทรปราการเลยว่าเฮ้ยผมจะคอยตามดู แล้วก็มี สส. ทั้งจังหวัดช่วยกัน ให้เห็นตั้งแต่วันนี้เลย
วราวิทย์: เหมือนคุณวีรเดชก็จริงจริงเป็นคนที่เปิดตัวเร็วนะ ที่ลำพูน ถ้าเทียบกับจังหวัดอื่นๆ
อาจารย์ครับ ถ้าถอยออกมาแล้วมองในภาพรวมบ้างครั้งนี้ที่หลายๆ คนโฟกัสอีกอย่างนึงก็คือตระกูลการ เมืองบ้านใหญ่ก็เข้าเป้าจริงๆ เผลอจะเข้าเป้ามากที่สุดด้วยซ้ำ โดยที่ไม่ต้องไปใช้ความเป็นพรรคการเมืองหรือเอาจริงๆ บางทีแม้ว่าพรรคนั้นจะส่ง แต่ตัวเขาก็คือเป็นคนที่มีฐาน มีแสงอยู่ในตัวอยู่แล้ว อาจารย์มองเห็นแนวโน้มการเมืองไทยแสดงว่าไม่ได้เปลี่ยนหรอก ก็ยังอยู่กับบ้านใหญ่ตลอดมันยังไงครับอาจารย์
ปิยบุตร: คือสำหรับการที่ตั้งแต่อนาคตใหม่ก้าวไกลประชาชนลงสนามการเลือกตั้งท้องถิ่น ผมคิดว่าแน่นอน เขาประสบความสำเร็จแค่ 1 อบจ. เท่านั้น แต่อย่างน้อยนะเส้นทางตั้งแต่ 63 จน ถึง 68 เนี่ย ผมคิดว่าทำให้คนสนใจการเลือกตั้งระดับ อบจ. มากยิ่งขึ้น
เรานั่งย้อนเวลากลับไปสิครับก่อนหน้านั้นมีเรื่อง อบจ. คนไม่ค่อยสนใจเนาะแต่พอพรรคตัดสินใจลงแล้วก็รณรงค์ทำสื่อสารบ่อยๆ เนี่ยคนก็รู้แล้วว่า อบจ. มันสำคัญสื่อสารมวลชนก็ช่วยกันเอาเรื่อง อบจ. ไปออกรายการบ่อยๆ ผมว่าอันเนี้ยมันเป็นความสำเร็จที่เปลี่ยนภูมิทัศน์การเมืองท้องถิ่นระดับหนึ่ง ทำให้คนให้ความสำคัญกับการเลือกตั้ง อบจ.
ปิยบุตร: แต่ส่วนวัฒนธรรมทางการเมืองในพื้นที่ ที่ยังโยงใยกันผ่านเครือข่ายเชิงอุปถัมภ์ผ่านบ้านใหญ่อยู่เนี่ย มันต้องค่อยๆ เปลี่ยน คือต่อให้พวกเราพยายามอยากจะเปลี่ยน มีความตั้งใจอยากจะเปลี่ยนแต่ความเป็นจริงมันยังไม่เปลี่ยนมันก็แสดงว่าเรายังเปลี่ยนไม่สำเร็จ
ดังนั้น มันก็ต้องต้องค่อยๆ ทำความคิดต่อไปทีนี้ที่ถกเถียงกันอยู่ว่าบ้าน ใหญ่ฝั่งนึงก็จะบอกว่าการเชียร์บ้านใหญ่เนี่ยมันเท่ากับว่าทำลายประชาธิปไตย เพราะสุดท้ายพวกนี้ก็อุปถัมภ์กันอยู่ เครือข่ายอิทธิพลพวกพ้องอีกฝั่งหนึ่งก็บอกคุณโจมตีบ้านอย่างงี้ คุณไม่เคารพประชาชน คุณไม่รู้จักวัฒนธรรมทำการเมืองไทยเสียแล้ว ถ้าคุณทำแบบนี้เท่ากับคุณแอนตี้ประชาธิปไตยมันเถียงกันอยู่ 2 แนวคิดแบบนี้แต่ถ้าเราไม่นิยามบ้านใหญ่ให้ตรงกันก่อน ผมว่ามันเถียงกันไม่จบสุดท้ายมันจะไปจบอยู่แค่ว่า “ของเอ็งก็มีของข้าก็มี” ผมว่านิยามให้ถูกก่อนว่าบ้านใหญ่คืออะไร ในความเห็นของผม คือ
1 บ้านใหญ่เนี่ยต้องดูจากวิธีการทำงานนะครับ ไม่ใช่ดูแค่ว่าเขาเป็นลูกหลานนักการเมือง ดูจากวิธีการทำงาน ดูจากวิธีการเข้าสู่อำนาจ บ้านใหญ่ในความเห็นของผมคือบ้านใหญ่จะทำงานการเมืองเพื่อ แย่งแบ่งสัมปทานอำนาจรัฐ
ปิยบุตร: ตรงนี้ขยายความนะครับ คุณวราวิทแย่งแบ่งสัมปทานอำนาจรัฐ หมายถึง คุณควักทุนควักอำนาจควักอิทธิพลเครือข่ายที่คุณมีทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของอำนาจเงิน หรืออำนาจอิทธิพลอื่นๆ เข้า ไปอัด ในพื้นที่ช่วย ประชาชนทุกๆ อย่าง ทั้งหมดเพื่อเป็นแรงจูงใจเพื่อเกิดเป็นหนี้บุญคุณต่อกันแล้ววันข้างหน้าจะเลือกพวกเขากลับมาเป็นตำแหน่งในจังหวัดนั้น ในพื้นที่นั้น เสร็จแล้วได้เข้าไปมีอำนาจรัฐก็จะใช้โครงการต่างๆ ในการเบียดบังเอางบประมาณต่างๆ ไปเข้ากระเป๋าตัวเองทำก็ทำด้วยแต่ต้องชักออกหรือที่เขาเรียกกัน เงินทอน นะครับ
เพื่ออะไร เพื่อเอาทุนมาทำการเมืองต่อในยกหน้า นะครับแล้วก็วนอยู่อย่างนี้เป็นวัฏจักร ผมเรียกตรงนี้ว่าคำการเมืองแบบแบ่งสัมปทานอำนาจรัฐ คือคุณลงทุุนก้อนหนึ่งเพื่อเป็นหนี้บุญคุณต่อกันเพื่อสร้างอิทธิพลในพื้นที่ เสร็จแล้วคุณมีอำนาจ คุณเอาส่วนแบ่งไปเพื่อไปทำทุนการเมืองครั้งหน้าต่อซึ่งมันเป็นแบบนี้หลายสิบปี เป็นแบบนี้ในหลายจังหวัดแล้วก็เติบโตกันขึ้นมาเป็นบ้านใหญ่ประจำจังหวัดนะครับ นี่นิยามข้อที่ 1 ของผม นิยามข้อที่ 2 คือมันสืบทอดกันทางสายเลือด
ปิยบุตร: สืบทอดทางสายเลือดผมหมายความว่า คนพ่อเป็นแล้วก็ไม่มีกระบวนการคัดสรรกันในกลุ่มในก้อนอะไรหรอก ก็เพราะเอ็งเป็นลูกฆ่าเอ็งก็เป็นต่อ ไม่ได้มีกระบวนการคัดสรรหรอก เอ็งเป็นเมียฆ่าเอ็งมาลงแทน วันนี้พ่อโดนอุบัติเหตุทางการเมืองพ่อโดนวาระครบ 2 สมัย เมียมาต่อ ลูกมาต่อ ลูกเขยมาต่อ ลูกสะใภ้มาต่อ คือสืบทอดทางสายโลหิต ไม่ได้มีกระบวนการคัดเลือกนะครับ ดังนั้น ถ้าเอาตรงนี้มานิยามเทียบกับสิ่งที่มีลูกหลานนักการเมืองมาอยู่ในพรรคประชาชนเนี่ย มันคนละแบบนะ พวกนี้เขาเข้ามาสมัครโดยที่พ่อเขาไม่ได้ฝาก เขาเข้ามาสมัคร ผ่านกระบวนการ แต่บ้านใหญ่นี่คืออะไร ก็วันนี้พ่อ พ่อหมดวาระแล้วเอ็งมาเป็นต่อเห็นมั้ย คือมันสืบทอดทางสายโลหิต เหมือนตำแหน่งที่มันยกให้กันในตระกูลน่ะครับ
ปิยบุตร: อันที่ 3 นะครับ ก็คืออยู่ในวัฒนธรรมวิธีคิดแบบอำนาจนิยมเชิงเครือข่าย ผมหมายความว่าคนกลุ่มนี้ พอมีอำนาจแล้วก็สร้างบารมีในพื้นที่ ช่วยเหลือประชาชนพร้อมกับหาทุนทำการเมืองต่อไปเรื่อยๆ แต่ในขณะเดียวกันเขากดเอาไว้อย่างนี้ถูกมั้ยครับ แต่อำนาจที่เหนือกว่าเขาไม่สู้ ยกตัวอย่างเช่นอำนาจทหาร
ปิยบุตร: ถ้าวันไหนมีรัฐประหารเกิดขึ้นพวกนี้ยอมหมดอำนาจอะไรอ่ะ เอ่อ ของรัฐมนตรี ถึงเวลาพวกนี้ก็ยอมสวามิภักดิ์รัฐมนตรี อำนาจของกลุ่มก้อนอำนาจที่ผมเรียกว่า เจ้าของใบอนุญาตใบที่ 2 เนี่ยพวกนี้ไม่ Challenge อยู่แล้วคือเขาพอใจกับการอยู่ตรงนี้ แต่ถ้าเขาจำเป็นต้องไปสวามิภักดิ์อำนาจอื่นเพื่อทำให้เขามีอำนาจในจังหวัดต่อเขายอมนะ 3 ข้อเนี้ยสำหรับผมเป็นนิยามของบ้านใหญ่นะ แล้วทีนี้ถามว่าสิ่งนี้ดีไม่ดี ผมว่าแต่ละคนก็ประเมินกันเองเวลาผมทำการเมืองตั้งแต่ตั้งพรรคอนาคตใหม่แล้ววันนี้แสดงความคิดเห็นบ่อยๆ เนี่ย เราไม่ได้ไปดูหมิ่นดูแคลนประชาชน เราไม่ได้ไปบอกว่าของเราดีของคนอื่นไม่ดี แต่นี่คือการเสนอทางเลือกให้คนเลือก ถ้านิยมแบบเดิมก็แบบเดิมครับก็ไม่ผิด ก็ผลการเลือกตั้งมันออกคุณชนะก็เดินต่อ แต่ถ้าอยากทดลองว่าแบบใหม่มันเป็นไปได้มันเกิดขึ้นได้ก็ลองทางนี้
วราวิทย์: อาจารย์เป็นการผลักให้บ้านใหญ่ดูเป็นผู้ร้ายในสายตาประชาชนมาก
ปิยบุตร: สุดท้ายประชาชนตัดสินครับถูกมั้ยฮะ ก็เวลาการรณรงค์การเลือกตั้งเนี่ย มันเป็นธรรมดาอยู่เองที่จะต้องบอกว่าของเดิมมันมีข้อเสียอย่างไรของใหม่มันดีกว่ายังไงถูกมั้ยก็หาเสียงสู้กันแล้วประชาชนก็ตัดสินนะ แต่เราไม่ได้บอกว่า เฮ้ยพอคุณชนะเสร็จล้มเลือกตั้งพอคุณชนะเสร็จแล้วเอ้ยไม่เอานะ ถือว่าคะแนนเสียงคุณไม่มีคุณภาพไม่ใช่ ก็ฝั่งอยากเลือกทางนี้ถูกต้องก็ไม่เป็นไรเราก็ทำงานรณรงค์ความคิดกันต่อ
ปิยบุตร: นะดังนั้น ดังนั้นเราอย่าเอาไปทำให้มันเป็นเรื่องของของศีลธรรมอ่ะ นี่คือการเสนอโมเดลแนวทางแบบใหม่และให้พี่น้องประชาชนตัดสินเราก็ต้องพยายามอธิบายให้เห็นในเชิงระบบเชิงโครงสร้างในแง่ตัวบุคคลมันคงไม่มีใครดีใครเลวกว่ากันหรอก แต่ในแง่ของโครงสร้างเนี่ย โครงสร้างอำนาจแบบนี้ถ้าเดินต่อไปเรื่อยๆ
การเมืองมันก็จะเป็นเรื่องของอะไร เรื่องของเครือข่ายอุปถัมภ์ผ่านกลไกรัฐ ผ่านอำนาจอิทธิพลเงินทอง งบประมาณแผ่นดินที่ปีนึงหลายร้อยล้าน แทนที่จะเอามาทำเป็นเต็มเม็ดเต็มหน่วย เขาต้องคิดถึงเรื่องเงินทอนละ เพื่อเอาทุนไปทำทางการเมือง เวลาบ้านเมืองเกิดวิกฤตการมีรัฐประหารยึดอำนาจคนเหล่านี้ก็ไม่สู้หรอกครับ เพราะอะไร เพราะมันไม่มีความจำเป็น ต้องรักษาของอย่างเดียว เขาจะเคารพอำนาจที่เหนื่อยกว่าเขาเพื่อรักษาบ้าน ใครมา เค้าก็เคารพทั้งนั้นอำนาจในบ้านของเขา
ปิยบุตร: นะดังนั้นวิธีการที่กำลังทำแบบใหม่กันอยู่วันนี้ยังไม่ชนะยังไม่สำเร็จก็ไม่เป็นไรก็อดทนทำต่อ นะครับแล้วเดี๋ยวอนาคตสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงมันจะค่อยๆ ค่อยๆ มา ค่อยๆ มา ดังนั้น ดังนั้นการต่อสู้ในการเปลี่ยนวัฒนธรรมทางการเมืองที่ฝังรากลึกในสังคมไทยเนี่ยผมว่าต้องทำด้วยความสนุกสนานนะ เพราะคุณสู้แบบมวยรองอ่ะ
ปิยบุตร: ถูกมั้ยในขณะที่มวยหลักที่เขาอยู่มานานเนี่ย ต้องเครียด เขา ต้องตึงเครียดมากเมื่อไหร่ ต้องรักษา
ปิยบุตร: ต้องรักษาไว้ให้ได้ไอ้คน ชาเลนจ์เนี่ยคนคนสู้อ่ะคนลุกขึ้นมาสู้เนี่ยผมว่าต้องทำด้วยความกระตือรือล้นทำด้วยความสนุกสนานไอ้คนที่อยู่ในอำนาจต่างหากที่จะต้องกังวลนะ
วราวิทย์: อาจารย์มอง ผลการเลือกตั้ง อบจ. ครั้งนี้มันจะสะท้อนถึงการเลือกตั้ง ปี 70 ยังไงถึงขั้นมีคำตอบสำเร็จ รูปแล้วมั้ย ณ ขณะนี้
ปิยบุตร: ผมว่าคือ เวลาผลการเลือกตั้งไม่ว่าสนามเล็กสนามใหญ่ออกมาเนี่ยมันเป็นดาต้า ข้อมูลชั้นดีที่จะเอาไปวิเคราะห์ในของแต่ละพรรคการเมืองในการลงสนามเลือกตั้งข้างหน้า สมมุติว่าเป็นฝั่งที่ไม่ได้ใช้กระแส
ปิยบุตร: หลากหลายพรรคที่ใช้เครือข่ายในพื้นที่ไม่ได้ใช้กระแสใช้กระสุนอื่นๆ อะไรว่า ไป
วราวิทย์: ระบุสีมั้ยจะได้เข้าใจง่ายหน่อย
ปิยบุตร: อันนี้ผมคิดว่าคนดูน่าจะเข้า ใจอยู่แล้วถ้ามีความคิดแบบฝั่งนี้
ปิยบุตร: เขาก็จะต้องอ่านข้อมูลชุดนี้ออกมาว่าเขามีของแน่ๆ เท่าไหร่ จากการที่ไม่ ใช่กระแส เค้ามีของแน่ๆ เท่าไหร่ เค้าก็เอาดาต้านี้ไปคำนวณได้ก็เอาข้อมูลเหล่านี้ไปคำนวณได้ว่าเฮ้ยนี่มันพื้นที่นี้มันแทคทีมกันกี่ที่ ออกเป็นหลายคนก็จะกระจายอีก
ปิยบุตร: เค้าก็จะเอาส่วน ไปวิเคราะห์ได้นะ ดังนั้นพอ เค้าก็ต้องบล็อกไม่ให้กระแสมันขึ้นนะ พยายามใช้คะแนนจัดตั้งฐานเนี้ยไปต่อไปต่อเรื่อยๆ นะครับ ฝั่งที่จะทำงานการเมืองแบบอยากจะเปลี่ยนแล้วรู้สึกว่าคะแนนก้อนเนี้ยมันไม่พอสำหรับพวกเขาต้องเติมอีกจากกระแสหรือจาก เอ่ออะไรนะอยากจะเปลี่ยนรัฐบาลอยากจะเปลี่ยนนายกอะไรต่างๆ ก็ได้ ดาต้าตรงนี้มาไงเอามาวิเคราะห์ต่อ เอามาวิเคราะหต่อว่าคุณขาดอะไร เช่น คุณขาดคนไปเดินในพื้นที่คุณจะแย่งคะแนนกลุ่มนี้มาอย่างไร ดังนั้นสำหรับผมเนี่ย ถามว่าพรรคไหนได้ไปต่อไม่ไปต่อเนี่ย มันยังบอกกันไม่ได้หรอกในรอบ 70 นะครับ เพียงแต่ว่าทุกขั้วทั้ง 2 ขั้วเนี่ยมีโอกาสในการเอาฐานข้อมูลชุดเนี้ยไปคิดแล้วทั้ง 2 ขั้วนี้ก็จะสู้กันต่อนะครับ
วราวิทย์ : แต่อย่างน้อยมันเห็นอาจารย์บอกว่าอย่างน้อยๆ พรรคประชาชนการเลือกตั้ง อบจ.คะแนนก็ยังทรงๆ
ปิยบุตร: ไม่ได้ลดลงแล้วก็ยังไม่ได้เพิ่มขึ้น
วราวิทย์: ถ้ามันยังอยู่ที่เดิมเนี่ยอีก 2 ฝ่าย ก็ทรงๆ เหมือนกันเนี่ย
วราวิทย์: มันก็จะกลายเป็น 3 ขั้ว
วราวิทย์: 3 ก๊กทางการเมือง 2 ใน 3 ใครจับกับใคร ทีนี้โจทย์ยากที่สุดคือสีส้มเนี่ยจับกับคนอื่นเขายากที่สุด มันก็เลยอาจจะเห็นว่าถ้าครั้งหน้าผลก็ยังเป็นแบบนี้อยู่
วราวิทย์: ภาพของรัฐบาลมันก็อาจจะเหมือนเดิมขึ้นอยู่กับว่าฝั่งนั้นใครเค้ามากกว่ากันแค่นั้นเอง
ปิยบุตร: ผมเชื่อว่าการเลือกตั้งปี 70 เนี่ยจะไม่มีพรรคไหนหรอกครับที่ไปประกาศก่อนว่าจะจับมือกันเพราะถ้าคุณจับมือกันแล้วในสนามเลือกตั้งคุณยังซัดกันอยู่เนี่ยมันเป็นไปไม่ได้
ดังนั้นทุกพรรคก็จะทำเต็มที่หมดในส่วนของพรรคประชาชนเนี่ยไม่ต้องคิดอ่านเรื่องอะไรเลย ไม่ต้องไปนั่งคิดเลยว่าจะจับมือกับใคร ไม่ต้องไปคิดอะไรเลยเดินหน้าสู้ให้ได้เกินครึ่งประเทศนะครับ ผมหมายถึง Popular Vote นะเนี่ย มันสัก 19 ล้าน 20 ล้าน เดินหน้าสู้ทำให้ได้อันเนี้ยเป็นเป้าของตัวเองแล้วถามว่าจะทำให้เกิดอันนี้ได้อย่างไรนะครับผมเชื่อว่าเวลาเลือกตั้งเนี่ยคนจะหันมาสนใจพิจารณาอย่างถ้วนถี่ประมาณสัก 6 เดือนหรือ 3 เดือนก่อนหย่อนบัตรนะครับ คือช่วงเวลานี้ก็จดบันทึกไว้ล่ะไอ้นี่ใครทำอะไรมี Digital Footprint เก็บไว้
ปิยบุตร: แต่โมเมนตัมมันจะเหวี่ยงแรงเนี่ยคือ 6 เดือนหรือ 3 เดือนสุดท้ายก่อนหย่อนบัตร ซึ่ง ณ เวลานั้นพรรคประชาชนต้องทำให้คนเชื่อทั้งหมดให้ได้ว่าไอ้ที่มันเป็นอยู่เนี่ยมันไปไม่ได้แล้วมันต้องเปลี่ยนมาข้างนี้ ไอ้พลังเก่าที่ทำการเมืองกันมาตลอดเวลาพลังเก่าที่ทำการเมืองเป็นรัฐบาลเนี่ยมันก็ทำได้แค่นี้แหละมันต้องไปได้ไกลกว่านี้ต้องเปลี่ยนมาเลือกพรรคประชาชนเนี่ย 6 เดือน 3 เดือนสุดท้ายค่อยๆ ไปทำระหว่างนี้คุณสะสมผลงาน
ปิยบุตร: แล้วก็คุณก็คัดเลือกผู้สมัครดีๆ แล้ว 6 เดือน 3 เดือนก็ทำกระแสตรงนี้ขึ้นมาไอ้ตรงนี้แหละครับมันจะเป็นก้อนที่มาเติมทำให้พรรคประชาชนเกินครึ่งหมายถึง 19 20 ล้านเสียงเนี่ยมันไปถึง
วราวิทย์: อาจารย์ใช้คำว่า Popular ต้องเกินครึ่ง
ปิยบุตร: ครับ
วราวิทย์: แต่ไม่ได้หมายความว่า สส. รวมจะเกิน 250 ใช่มั้ย
ปิยบุตร: คือการตั้ง 250 เนี่ยมันตั้งไว้ปลุกใจอะไรกันได้เนาะ แต่เราต้องยอมรับความเป็นจริงว่ามันยากนะครับ สส.เขตเนี่ยมันมีคุณลักษณะพิเศษอะไรบางอย่างอยู่นะครับ การเลือกตั้งครั้งที่แล้วเราก็เห็นว่า
ปิยบุตร: หลายเขตนะครับพอเป็นบัตร 2 ไปเนี่ยมันแบ่งใจได้ ไปเลือกอีกคนนึงพอมาเป็นพรรคเลือกพรรคก้าวไกลอะไรแบบเนี้ยนะครับดังนั้นดังนั้นเนี่ยเขตเนี่ยมันมีลักษณะพิเศษมันมีความสัมพันธ์อะไรกันอยู่ แต่คะแนนพรรคเนี่ยผมว่าสำคัญคือในแง่หนึ่งมันตอบได้ว่าพรรคนี้มีคนเลือกเกินครึ่งประเทศ แล้วถ้าคนครึ่งประเทศอยากให้เขาเป็นรัฐบาลถึงเวลาใบอื่นอนุญาติใบที่ 2 ไม่ออกนะ มันก็ส่งผลในการกฎหมาย
วราวิทย์: แม้ตัวเลข สส.รวม คือ คือสมมุติคิดตามอาจารย์ รักษาเขตได้เท่าเดิมอ่ะ 100 เท่าไหร่ 110 ใช่มั้ครับ ที่เหลือคือปาร์ตี้ลิสต์ ปัจจุบันนี้ถ้าคุณได้ 19 ล้านเสียงสมมุตินะ ตีเป็นตัวเลข สส.ที่จะได้เพิ่มจริงๆ ก็เท่าไหร่ 10 กว่าเสียงคือ
ปิยะบุตร: โดยสภาพมัน มันไม่ใช่เฉพาะบัตรใบที่ 2 ครับ โดยสภาพมันจะมีคนบางคนที่กา 2 ใบ อยู่แล้วนะครับ ผมหมายความงี้ ถ้าให้ตีตัวเลขกลมๆ เนี่ยเขตเนี่ยต้องเติมคนขึ้นไปให้ถึงนะครับ สัก เอ่อ ซัก 100 150 นะครับ 150 แล้วคุณเอาลิสต์มาอีกสัก 50 เติมเข้าไปอีก อันนี้มักน้อยนะแบบมักน้อยที่สุด เอาให้มันเอาให้มันทะยานไปให้ได้
วราวิทย์: ถ้าตัวเลขมันอยู่ประมาณ 200 แม้ว่าจะไม่ถึง 250 ก็ตามแต่ถ้า Popular Vote มันเกินครึ่ง มันกึ่งๆ เป็นฉันทามติ ในแง่ที่จะไปต่อรองกับใบอนุญาตใบที่ 2
ปิยบุตร: ก็แสดงให้เห็นว่านี่คนขึ้นประเทศอยาก อยากเลือกให้ทีมนี้เป็นรัฐบาล
วราวิทย์: มันก็จะช่วยได้แต่อีกฝั่งนึงเขาก็มี Data ชุดเดียวกับที่พรรคประชาชนมีจากผลการเลือกตั้งในครั้งนี้อาจารย์คิดว่าอีกฝั่งนึงจะปรับตัวยังไงบ้างหลังจากที่ที่เห็น
ปิยบุตร: เท่าที่ผมดู คะแนนออกมาอย่างนี้ วิธีการที่จะชนะพรรคประชาชนได้คือคุณต้องแท็กทีมกัน ถ้าคุณแท็กทีมกันเนี่ย สส.เขตของพรรคประชาชนหลายที่ก็จะร่วงได้นะครับ แต่โดยสภาพการเมืองเนี่ยทุกพรรคมันไม่ยอมกันอ่ะ
วราวิทย์: อบจ.ยอมหลายจังหวัดนะอาจารย์
ปิยบุตร: เพราะมันเป็นเรื่องจังหวัดตัวเองแค่นั้นเองถึงเวลาเกลี่ยกัน แต่พอเป็นส.ส.เนี่ยผมว่าพรรคเพื่อไทยกับพรรคภูมิใจไทยจะยอมกันเหรอฮะ ไม่น่าจะยอม
วราวิทย์ : คืออบจ.หลายจังหวัดมันเป็นการตัวเลยครับ ระหว่างจะพรรคจะตระกูลการเมืองกับคนของพรรคประชาชนซึ่งหลายจังหวัดก็ เอ่อ บ้านใหญ่ เค้าหลีกกันเค้าไม่สู้กัน แท็กทีมถ้าอย่างเงี้ยสีส้มจะเหนื่อยครับ แต่การเลือกตั้งใหญ่อาจารย์ไม่เชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นได้
ปิยบุตร: ครับ ก็มันอาจจะเป็นในบางพื้นที่เว้นเขตอะไรกันได้เนาะ แต่ว่าทั้งหมดเนี่ยผมไม่เชื่อว่าทำได้หมดมันคงทำไม่ได้เหมือนที่พรรคอำโนทำหรือที่หลากหลายประเทศเขาทำอ่ะ คือ คือทุกพรรคเค้าไม่ยอมกัน เค้าก็คิดว่าต้องเป็นหัวหน้า ต้องเป็นแคนดิเดตนายกฯ คือเขาจะสู้กันให้ถึงที่สุดก่อนแล้วเดี๋ยวค่อยไปจับมือ
วราวิทย์: ถ้าอย่างงั้นก็แปลว่าหลายๆ เขตพรรคประชาชนก็ยังมีโอกาสที่จะสอดแทรก
ปิยบุตร: ทีนี้คุณต้องอธิบายเส้นแบ่งอันนี้ให้ได้ การเลือกตั้ง ปี 70 ในความเห็นผมเนี่ย ต้องต้องขีดเส้นแบ่งนี้ให้ชัดที่สุดนะครับ คือไอ้เก่ากับใหม่อ่ะ เราจะเรียกอนุรักษ์นิยมกับก้าวหน้าหรือเก่ากับใหม่ก็ได้แล้วต้องทำให้เห็นจริงๆ ว่าไอ้ที่มันเป็นอยู่เนี่ยมันคณะเดียวกันหมดมันมีวิธีสังฆกรรม สังคายนา ร่วมกันทำด้วยกันใช้อำนาจในแบบเดียวกันหมดเพียงแต่แค่อยู่กันคนละพรรคแล้ววันนึงก็มารวมกันต้องพยายามทำตรงนี้อธิบายให้เห็นในขณะเดียวกันของพวกคุณเนี่ยเป็นแบบใหม่จริงๆ คุณอยากจะทำงานการเมืองแบบใหม่จริงๆแล้วรอบนี้แบบเก่าเขารวมพลังกันตั้งได้แล้วแต่ในท้ายที่สุด 4 ปีมันทำได้แค่นี้ พี่น้องประชาชนลองทดลองกันเลือกแบบใหม่ให้ถล่มทลายดูมั้ยต้องทำแบบเก่าจะมีกี่พรรคไม่รู้แหละ
วราวิทย์: ไม่รู้ แต่คุณขีดเส้นนี้ไว้ นี่คือวิธีการรณรงค์ที่อาจารย์คิดว่าน่าจะเป็นประเด็นสำคัญในปี 7
ปิยบุตร: มันมันเป็นทางเดียวที่คุณจะชนะในแง่ของผู้สมัครตัวในพื้นที่ วิธีการคุณ วิธีการที่จะทำให้คนเลือก สส.โดยพยายามละเลยบุคลิกภาพคุณลักษณะของตัวบุคคลของ สส.แต่ละคนได้ก็คือคุณต้องฉายภาพใหญ่กว่านั้นนะฮะ ถ้าเกิดถ้าเกิดคุณไม่มีภาพแห่งความหวังภาพใหม่ว่าสังคมใหม่จะเป็นอย่างไรถ้าหากพรรคประชาชนมีอำนาจรัฐ ถ้าคุณขายภาพนี้ไม่ออก หรือคนบอกว่ามันไม่มีหรอกประเทศนี้มันได้แค่นี้แหละ คนเขาก็จะไปเลือกตัวบุคคลไง ที่ดูแลบ้านเขาได้ ที่ดูแลพื้นที่เขาได้
วราวิทย์: ซึ่งอันเนี้ยมันจะใช้กับอบจ.ได้เหนื่อยหน่อยยาก อบจ.มันก็จะอยู่ที่ตัวบุคคล อยู่ที่ผลงานเฉพาะ
ปิยบุตร: แต่ 72 ไม่แน่ ถ้าทำลำพูนดีๆ มันก็จะเป็นคลื่นสีส้มเลยว่าเฮ้ยลำพูนมันเปลี่ยนได้
วราวิทย์: 72 อาจจะเอามุมการเลือกตั้งระดับชาติมาใช้
ปิยบุตร: ผมหมายถึง 68 เนี่ยถ้าลำพูนทำได้สำเร็จ
ปิยบุตร: 72 ของการเลือกตั้งอบจ. มันก็จะเกิดแนวคิดว่าเฮ้ยถ้าเป็นอบจ.สีส้มแบบเนี้ยมันทำแบบลำพูนนะ อันนี้อาจจะมา
วราวิทย์: กับฝั่งขั้วเก่าล่ะอาจารย์มองเห็นการช่วงชิงระหว่างเพื่อไทยกับภูมิใจไทย ยังไงบ้าง แล้วมันจะมาส่งผลกับพรรคประชาชน
ปิยบุตร: ผมคิดว่าในสนามเลือกตั้งเขาสู้กันเต็มที่ทุกสนามแน่นอน เสร็จแล้วตัวเลขเท่าไหร่ค่อยมาตั้งรัฐบาลนะครับ เค้าค่อยมาว่ากันเค้าสู้กันเต็มที่อยู่แล้วนะฮะ แต่อ่อถามว่าเขามีความขัดแย้งกันไหม ใครใครดูก็รู้ว่ามันมีแน่ในการทำงานในกระทรวงต่างๆนะครับ แต่จะถามว่าพรรควันนึงจะทะยานขึ้นเป็นพรรคอันดับ 1 หรือไม่เนี่ยผมคิดว่ามันยังยากอยู่เพราะการทะยานเป็นพรรคอันดับ 1 ของประเทศนี้นะมันต้องมีกระแสด้วยนะ กระแสที่อยากเห็นคณะของคุณเป็นผู้บริหารประเทศ ซึ่งอันเนี้ยพรรคเพื่อไทยมี พรรคประชาชนก็มี อาจจะไม่จำเป็นจะต้องทะยานเป็นอันดับ 1 ทั้งประเทศก็ได้
วราวิทย์: ขอให้เป็นอันดับ 1 ในกลุ่มของเขาก็พอเพราะว่าสมการมันเป็น 3 ก๊กแบบนี้ไง
วราวิทย์: ถ้า 2 ใน 3 จับกันก็รู้อยู่ว่าสีส้มจับกับคนอื่นยากที่สุด
ปิยบุตร: จริงๆ จริงๆ มันมีสมการหนึ่ง ถ้าออกอันนี้ออกมาผมว่ามันอาจจะพลิกได้ ถ้าหากพรรคภูมิใจไทยได้ที่ 2 เนี่ยแล้วพรรคประชาชนเนี่ยไม่ถึงครึ่งเนี่ยผมเชื่อว่าพรรคภูมิใจจะแย่งตั้งรัฐบาล
วราวิทย์: ถ้าภูมิใจไทยได้อันดับ 2 ก็หมายถึงว่าเพื่อไทยได้อันดับ 1
ปิยบุตร: แต่สมมุติ ประชาชนได้ที่ 1 ภูมิใจไทยที่ 2 เพื่อไทยลงเป็นที่ 3 นะ สมมุติ นะ
วราวิทย์ : แต่ จะเป็นขั้วเดิมอยู่ดี
ปิยบุตร : แต่เพื่อไทยจะเป็นจะชิงตั้งรัฐบาลเลย
วราวิทย์ : ก็เข้าใจ ชิงตั้งรัฐบาลกับขั้วเดิมโดยที่ คือมันก็แค่เปลี่ยน ถูกต้อง เปลี่ยนหัว
ปิยบุตร : แต่ถ้าเค้าอยู่ที่ 3 ผมว่าเค้าไม่ตั้ง
วราวิทย์: ไม่มีสมการไหนที่ประชาชนจะไปจับกับอีก 2 ขั้วอีก 2 ก๊ก
ปิยบุตร : เลิกคิดไปก่อนเลือกตั้งให้เต็มที่นะครับขายความเป็นของตัวของตัวเองให้มากที่สุดครับ นะครับ แล้วถ้ามันไม่ถึงก็ว่ากันอีกที
วราวิทย์: แต่ถ้า 200 ขึ้นแม้จะไม่ถึง 250 ก็ตามอาจารย์คิดว่า
วราวิทย์: มีอำนาจต่อรอง
ปิยบุตร : เพิ่มขึ้นครับ
วราวิทย์ : มันจะมีสูงนะ นี่คือการถอดบทเรียนของอาจารย์ปิยะบุตรนะครับ ผลการเลือกตั้งอปจ.ออกมาแล้วยังมีเวลาทุกพรรคนะทำงานกันอีกนานกว่าจะถึงการเลือกตั้งปี 2570 แต่อย่างน้อยก็เป็นฐานข้อมูลไปวิเคราะห์ต่อกันได้