svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

เปิดสาเหตุหลัก แหล่งกำเนิดวิกฤตฝุ่นพิษ PM 2.5

ฝุ่นพิษสะเทือนเมือง! เผาอ้อย-ซังข้าว ตัวการหลัก ฝุ่น PM 2.5 ทะลุวิกฤต รัฐฯ พร้อมเข้มกฎหมายห้ามเผา ขณะที่ประชาชนเผชิญปัญหาสุขภาพต่อเนื่อง

ข้อมูลจาก ส่วนการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศภาคป่าไม้ สำนักวิจัยอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ข้อมูลเกี่ยวกับฝุ่น PM 2.5 ซึ่งกำลังกลายเป็นประเด็นร้อนในสังคมไทยขณะนี้ เพราะกระทบทั้งสุขภาพ ชีวิตความเป็นอยู่ และการท่องเที่ยว 

 

PM 2.5 คือ ฝุ่นขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน หรือ PM 2.5 พูดภาษาบ้านๆ ก็คือ “ฝุ่นละเอียด” มีลักษณะเป็นเขม่าควัน หรือไอเสียจากการเผาเชื้อเพลิงต่างๆ ซึ่งเป็นอันตราย เพราะสามารถเข้าสู่ร่างกายของคนเราทางการหายใจได้มากกว่าฝุ่นขนาดใหญ่

 

สาเหตุการเกิด PM 2.5  ในประเทศไทยคิดเป็นสัดส่วนได้ดังนี้ 

 

 - การเผาไหม้ในที่โล่ง 54%

 

 - อุตสาหกรรม ทั้งในรูปแบบของโรงงานขนาดใหญ่ และเอสเอ็มอี 17% 

 

 - ภาคขนส่ง ซึ่งหมายถึงไอเสียจากยานพาหนะประเภทต่างๆ 13%

 

 - การผลิตไฟฟ้า 8%

 

 - ที่อยู่อาศัย ครัวเรือน 7% 

 

จะเห็นได้ว่า “การเผาไหม้ในที่โล่ง” เป็นต้นเหตุของ PM2.5 ในสัดส่วนมากที่สุด ขณะที่ไอเสียจากยานพาหนะ และฝุ่นควันจากโรงงานอุตสาหกรรม จะเป็นสาเหตุลำดับรองลงมา แต่ในเขตเมืองหลวงอย่างกรุงเทพมหานคร และเมืองใหญ่ของแต่ละภาค อาจจะเจอปัญหานี้หนักกว่าการเผาในที่โล่ง เพราะการจราจรติดขัด และมีโรงงานจำนวนมาก มีอาคารบ้านเรือนหนาแน่น 

 

สาเหตุเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาลจัดการกับปัญหาถูกต้องตามปัจจัยที่เป็นสาเหตุแล้วหรือไม่

 

ข้อมูลนี้สอดคล้องกับ คุณเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ที่ให้ข้อมูลว่า การเผาไหม้ในที่โล่ง เป็นต้นเหตุของฝุ่น PM2.5 มากที่สุด โดยในประเทศไทย ได้รับผลกระทบจาก 2 ส่วน คือ 

 

ส่วนแรก การเผาในประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งเผาป่า และเผาวัชพืชจากแปลงเกษตร 

ส่วนที่ 2 การเผาในประเทศไทยเอง หลักๆ มาจาก เผาตอซังข้าว และเผาอ้อย โดยมีสัดส่วนที่ทำให้เกิด PM2.5 มากที่สุด 


ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า ปัญหาฝุ่นละอองในภาคเกษตร เกิดจากการปลูกและเผาอ้อยถึง 23%  กระทรวงอุตสาหกรรมรายงานว่า มีจุดความร้อน หรือ Hot Spot สะสมในพื้นที่ปลูกอ้อยถึง 47 จังหวัด 

 

ปัจจุบัน สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย โดยการเสนอของกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ดำเนินโครงการสนับสนุนเกษตรกรชาวไร่อ้อย ตัดอ้อยสดคุณภาพดีเพื่อลดฝุ่น PM2.5 ด้วยการกำหนดอัตราการจ่ายเงินสนับสนุนเกษตรกรที่ตัดอ้อยสด ในอัตราไม่เกิน 120 บาทต่อตัน ซึ่งผ่านมติคณะรัฐมนตรีไปแล้ว ใช้กรอบวงเงิน 7,990 ล้านบาทเศษ  โดยใช้แหล่งเงินทุนจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธ.ก.ส. แต่แนวทางนี้ก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จมากนัก เพราะจริงๆ กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอมานานแล้ว แต่รัฐบาลกลับนิ่ง ทำนองว่าไม่เห็นความสำคัญ เพิ่งจะมาอนุมัติเมื่อเกือบสายเกินไป 

 

ประกอบกับจำนวนเงินอุดหนุนที่จ่ายให้เกษตรกรตัดอ้อยสด ยังไม่คุ้มกับต้นทุนที่แท้จริง คือ เผาอ้อยแล้วตัด ยังมีต้นทุนต่ำกว่า แถมยังมีโรงงานน้ำตาลยักษ์ใหญ่รับซื้อ “อ้อยเผา” ซ้ำยังซื้อเกินปริมาณที่ตกลงทำเอ็มโอยูกับกระทรวงอุตสาหกรรมเอาไว้ เพื่อลดปริมาณ PM2.5 จนต้องมีการสั่งปิดโรงงานในจังหวัดอุดรธานี จนมีข่าวดราม่าขัดแย้งในพรรคร่วมรัฐบาล ระหว่างรัฐมนตรีอุตสาหกรรม พรรครวมไทยสร้างชาติ กับ พรรคเพื่อไทยที่เป็นเจ้าของพื้นที่อุดรธานี ถึงขั้นมีข่าวตั้งค่าหัวกันวุ่นวาย

 

ส่วนปัญหาฝุ่นควันจากการเผาตอซังข้าว และวัชพืชในนา ก็มาจากสาเหตุเดียวกัน คือ การเผาทำให้ประหยัดต้นทุนกว่าการไถกลบ เนื่องจากชาวบ้านส่วนใหญ่ 80% ไม่มีที่นาเป็นของตนเอง ต้องเช่าที่ดินทำนา จึงต้องลดต้นทุนทุกอย่าง 

 

นี่คือ 2 ปัญหาใหญ่ที่รัฐบาลยังแก้ไม่ตก ไม่ใช่เฉพาะรัฐบาลชุดนี้ แต่รวมถึงชุดที่ผ่านๆ มาด้วย ขณะที่มาตรการที่ออกมา ก็ยังไม่ตรงจุด และยังมีจุดอ่อน จุดบกพร่องที่ต้องอุดช่องโหว่กันอีกมากทีเดียว

 

ทางด้าน นายกรัฐมนตรีเผยว่า พร้อมรับมือฝุ่น PM2.5 ตั้งแต่วันเเรกที่เป็นนายกฯ และสั่งมาตรการเฉพาะหน้า 6 ข้อ 

 

6 มาตรการ ประจัญบานฝุ่น

 

1.WFH ลดการใช้รถส่วนตัว + ยกเว้นค่ารถไฟฟ้า-รถเมล์ 7 วัน 

2.ปฏิบัติการฝนเทียม เจาะช่องบรรยากาศทั่วกรุงเทพฯ

3.กระทรวง ทส.ตรวจสอบทุกพื้นที่ พบการเผา ดำเนินคดีทันที 

4.กระทรวงดีอี เปิดแอปฯ แจ้งเหตุการเผา 

5.ประสาน “ผู้ว่าฯ ชัชชาติ” ให้กวดขันไซต์ก่อสร้างม่คลุมผ้าป้องกันฝุ่น

6.เจ้าหน้าที่ตำรวจกวดขันรถควันดำ 

 

ทางด้าน นายชัชชาติ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครฯ ให้สัมภาษณ์ว่า คาดว่าสถานการณ์ฝุ่น จะดีขึ้น ขอให้ประชาชนระมัดระวังเรื่องสุขภาพ ทางด้านมาตราการการจัดการทำทุกอย่างเท่าที่อำนาจสามารถสั่งการได้ พร้อมน้อมรับคำติ และตั้งใจเเก้ปัญหาต่อไป