
กรณีที่ดินอัลไพน์ที่พรรคภูมิใจไทยออกมาขยับ เราได้ฟังทัศนะจาก “นักกฎหมาย” ซึ่งเป็นทีมทำข้อมูลให้กับฝ่ายค้านในสภาขุดที่แล้ว ซึ่งมีการนำประเด็น “ที่ดินเขากระโดง” ไปซักฟอกรัฐบาลจนกลายเป็น “บาดแผลใหญ่ทางการเมือง” ของตระกูลการเมืองดังของบุรีรัมย์
นักกฎหมายรายนี้ มองว่า พรรคภูมิใจไทยกำลัง “ตีกิน 2 เด้ง” กับเรื่องที่ดินอัลไพน์
1.ได้ข่มขู่ทางการเมือง นำมาซึ่งการต่อรอง เพราะอำนาจในการเซ็นยึดคืนที่ดิน เป็นของตนเอง (ผ่านกระทรวงมหาดไทย ซึ่งพรรคตนกำกีบดูแล)
แม้จะมีความกังวลว่า อาจเป็นการ “เตะหมูเข้าปากใคร” เพราะอาจมีการเสียค่าโง่อีกหลักพันล้าน เนื่องจากผู้ที่ซื้อที่ดินและสิ่งปลูกสร้างโดยสุจริต สามารถฟ้องเรียกค่าเสียหายจากรัฐได้เต็มจำนวนก็ตาม และปัจจุบันมูลค่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างก็พุ่งสูงกว่าอดีตมาก
หนำซ้ำสุดท้ายวัดธรรมิการามฯ เจ้าของที่ดินตัวจริง ก็ไม่ได้มีความประสงค์ใช้ประโยชน์ในรูปแบบอื่น ก็อาจให้เช่าระยะยาวต่อไปอยู่ดี
แต่งานนี้ส่งผลสะเทือนทางการเมืองอย่างรุนแรง และอาจกระทบต่อสถานะนายกฯ ของคุณอุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ด้วย จึงน่าจะนำมาใช้ต่อรองทางการเมืองได้ เช่น เรื่องพนันออนไลน์ หรือเอนเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ อย่างที่เป็นข่าว
2.ขั้นตอนการดำเนินการ จะว่าไปเป็น “ระเบียบทางราชการปกติ” แต่ถูกนำไปอิงกับประเด็นการเมือง
นอกจากใช้ข่มขู่ต่อรองแล้ว ยังเป็นการวางแนวบรรทัดฐานเพื่อปูทางไปที่ “คดีเขากระโดง” ในอนาคต หากไปต่อไม่ไหวจริงๆ
เพราะสุดท้ายจะต้องมีการจ่ายชดเชย หากมีการเพิกถอนที่ดินเขาโดง เหมือนกับที่ดินอัลไพน์ ผู้ที่ถือครองอยู่ก็จะได้รับการชดเชยอย่างมหาศาล โดยเฉพาะตระกูลการเมืองดัง แนวๆ รัฐอาจจะเสียค่าโง่ซ้ำซาก
ขั้นตอนต่อจากนั้น ก็จะได้เช่าที่ราคาถูกจากการรถไฟแห่งประเทศไทย หรือ ร.ฟ.ท. เช่นเดียวกับกรณีที่ธรณีสงฆ์ วัดธรรมิการาม เพราะด้วยสภาพความเป็นเมืองของที่ดินเขากระโดง การรถไฟฯ ไม่สามารถนำไปทำอย่างอื่นได้อีกแล้ว
3.นักกฎหมายรายนี้ยังเชื่อว่า การขยับเรื่องอัลไพน์ เป็นเพียง “การละคร” เพื่อต่อรอง และชิงไหวชิงพริบทางการเมือง เหมือนกับช่วงที่มีการเปิดข้อมูลกรมที่ดินไม่เพิกถอนเอกสารสิทธิ์ที่ดินเขากระโดง
จากนั้นสองหน่วยงาน คือ การรถไฟฯ กับกรมที่ดิน ก็เล่นละครให้สังคมได้ชมกันเป็นฉากๆ ออกแถลงการณ์โต้กันไปมา จนสังคมหลงประเด็นว่าสองหน่วยงานนี้ทะเลาะกัน แต่ประเทศไทยไม่ได้ที่ดินคืนเป็นของรัฐ (คือดูละครจนเพลิน อ้าปากค้าง แต่ความจริงไม่มีอะไรคืบหน้าเลย)
แท้ที่จริงแล้ว ถ้าการรถไฟฯ ฟ้องศาลยุติธรรมโดยตรง ทุกอย่างก็จะจบ โดยเฉพาะที่ดินแปลงใหญ่ๆ สำคัญๆ ที่ตระกูลการเมืองครอบครองอยู่ ซึ่งจากการลงพื้นที่พบว่า อยู่ติดกับที่ดิน 2 แปลงที่ศาลฎีกามีคำพิพากษา และบังคับคดี ถูกขับไล่เพิกถอนโดยกรมที่ดินไปหมดแล้วนั่นเอง
ฉะนั้นหากมีการยื่นฟ้อง ก็จะไม่มีข้ออ้างอื่นได้เลย นอกจากถูกขับไล่เท่านั้น แต่การรถไฟฯกลับเลือกไปฟ้องศาลปกครอง บังคบให้กรมที่ดินเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ ทั้งที่ไม่มีความจำเป็นเลย ทำให้เสียเวลาไปอย่างน้อยๆ 2 ปี
แถมกรมที่ดินยังอ้างคำสั่งศาลปกครอง ตั้งคณะกรรมการสอบสวน ตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ออกคำสั่งทางปกครองมาใหม่ อ้างว่าแผนที่ที่การรถไฟฯ ใช้ไม่ตรงกับพื้นที่จริงอีก แถมท้าให้การรถไฟฯ ไปฟ้องร้องเองซึ่งการรถไฟฯ ก็ทำท่าจะไปฟ้องศาลปกครองซ้ำอีก ทั้งๆ ที่ฟ้องศาลยุติธรรมเลยก็จบ
ทั้งหมดนี้จึงเชื่อว่าเป็น “การละคร” ของพรรคการเมือง 2 พรรค เพื่อต่อรอง และสุดท้ายก็เอื้อประโยชน์กันในที่สุด โดยประชาชนอย่างเราๆ ก็ได้แต่มองตาปริบๆ