
1 กันยายน 2567 เป็นเรื่องที่ท้าทายการทำงานของนายกฯ "อุ๊งอิ๊ง" แพทองธาร ชินวัตร ตั้งแต่ยังไม่เข้าทำงานเต็มตัว สำหรับ "ปัญหาอุทกภัย" ของแสลงสำหรับนารีขี่ม้าขาวจากพรรคเพื่อไทย มาตั้งแต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐผู้เป็นอา และวลีที่ยังติดอยู่ในใจของใครหลายคนว่า "เอาอยู่"
และเมื่อการทำงานการทำงานของนายกฯ แพทองธาร ยังไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย จากปมการตั้งรัฐบาลแพทองธาร 1 ยังไม่แล้วเสร็จ จึงเป็นหน้าที่ของรักษาการนายกฯ อย่าง นายภูมิธรรม เวชยชัย โดยประเด็นที่น่าสนใจคือ ได้มีการพูดถึงโครงการบริหารจัดการน้ำ มูลค่าแสนล้านในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์
สำหรับโครงการบริหารจัดการน้ำดังกล่าว ที่นายภูมิธรรม พูดถึงและอ้างว่า โครงการต้องชะงักไปเพราะการรัฐประหาร มิฉะนั้นประเทศไทยจะไม่ต้องหวาดผวา กับปัญหาน้ำท่วมแบบนี้นั้น
หากย้อนอดีตโครงการบริหารจัดการน้ำ ตามที่รักษาการนายกฯ พูด ก็คือ “โครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท” ซึ่งรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ตราเป็น “พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ.2555” วงเงินไม่เกิน 3.5 แสนล้านบาท นั่นเอง
ถือเป็นการเดินหน้าโครงการอย่างเร่งด่วน หลังจากประเทศไทยเพิ่งผ่านมหาอุทกภัย น้ำท่วมใหญ่เมื่อปี 2554 ซึ่งเป็นช่วงต้นของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เจ้าของวลี “เอาอยู่”
โครงการหลักๆ แบ่งเป็น 6 โมดูล ซึ่งล้วนเป็นโครงการลงทุนขนาดใหญ่ ได้แก่
โมดูล A1 - สร้างอ่างเก็บน้ำอย่างเหมาะสมและยั่งยืนในพื้นที่ลุ่มน้ำปิง, ยม, น่าน, สะแกกรัง และป่าสัก ให้ได้ความจุเก็บกัก 1.3 ล้านลูกบาศก์เมตร เพดานกรอบวงเงินงบประมาณไม่เกิน 5 หมื่นล้านบาท
โมดูล A2 - การจัดทำผังการใช้ที่ดินและการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่ลุ่มน้ำ รวมทั้งการจัดทำพื้นที่ปิดล้อมพื้นที่ชุมชนและเศรษฐกิจหลัก สำหรับพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา กรอบวงเงินงบประมาณไม่เกิน 2.6 หมื่นล้านบาท
โมดูล A3 - การปรับปรุงพื้นที่เกษตรชลประทาน ในพื้นที่โครงการชลประทานเหนือจังหวัดนครสวรรค์ เพื่อเก็บกักน้ำหลากชั่วคราว กรอบวงเงินงบประมาณไม่เกิน 1 หมื่นล้านบาท
โมดูล A4 - การปรับปรุงสภาพลำน้ำสายหลักและการป้องกันการกัดเซาะตลิ่งริมแม่น้ำ ในพื้นที่แม่น้ำยม, น่าน และเจ้าพระยา กรอบวงเงินงบประมาณไม่เกิน 1.7 หมื่นล้านบาท
โมดูล A5 - การจัดทำทางผันน้ำ หรือ Flood Diversion Channel ขนาดประมาณ 1,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที รวมทั้งการก่อสร้างถนนเพื่อรองรับคมนาคม กรอบวงเงินงบประมาณไม่เกิน 1.53 แสนล้านบาท
และโมดูล A6 - ระบบคลังข้อมูลเพื่อการพยากรณ์และเตือนภัย รวมทั้งการบริหารจัดการน้ำ กรอบวงเงินงบประมาณไม่เกิน 1.53 แสนล้านบาท
นอกจากนั้นยังมีโมดูลแยกย่อยอีกมากมาย
แต่โครงการนี้ถูกท้วงติงว่าไม่โปร่งใส ดำเนินโครงการกลับหัวกลับหาง มุ่งงานก่อสร้างมากกว่าการพิจารณาปัญหาที่ต้นเหตุ / และถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช.ท้วงติงว่า เป็นโครงการที่ใช้งบประมาณสูงมาก และมีจุดเสี่ยงทุจริตหลายจุด โดยเฉพาะการประมูลงานก่อสร้างต่างๆ ที่มีกระบวนการคัดเลือกเอกชนแบบรวบรัด ใช้เวลาจำกัด ถูกตั้งคำถามเรื่องการฮั้วประมูล แบ่งงานกันในกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ของประเทศ
โครงการนี้จะว่าไปแล้ว ไม่มีใครคัดค้านเรื่อง “ความจำเป็นเร่งด่วน” แต่ที่ถูกท้วงติงคือเรื่องความโปร่งใสในการกำหนดโครงการ และประกวดราคาจัดซื้อจัดจ้างมูลค่ามหาศาล ซึ่งมีการเดินหน้าประมูลโดยไม่รอการตรวจสอบ สุดท้ายโครงการจึงถูกยกเลิกโดยรัฐบาล คสช.ภายหลังการรัฐประหารเมื่อปี 2557
ส่วนโครงการลงทุนขนาดใหญ่ในรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์อีกโครงการหนึ่ง ได้แก่ โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ในปี 2556 โดยการออกเป็น “พระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน พ.ศ. ...." วงเงิน 2 ล้านล้านบาท สำหรับระยะเวลา 7 ปีงบประมาณ แต่กฎหมายนี้ถูกตีตกโดยศาลรัฐธรรมนูญ โดยคำวินิจฉัยว่าขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ
ผุดไอเดีย “เขื่อนกั้นแม่น้ำยม” ปลุกผี “แก่งเสือเต้น”?
เมื่อพูดถึง “เขื่อนกั้นแม่น้ำยม” เพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัย ทำให้หลายคนนึกถึงโครงการ “เขื่อนแก่งเสือเต้น” ซึ่งเป็นมหากาพย์โครงการก่อสร้างเขื่อนที่ถูกคัดค้านจากประชาชนและเอ็นจีโอมากที่สุดโครงการหนึ่งของประเทศไทย
ความจำเป็นของการก่อสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำยม เพราะแม่น้ำ 4 สายจากภาคเหนือ คือ ปิง - วัง - ยม - น่าน ที่ไหลมาบรรจบกันที่นครสวรรค์ เป็นแม่น้ำเจ้าพระยานั้น
แม่น้ำทั้ง 4 สาย มีเขื่อนกักเก็บน้ำอยู่แล้ว 3 สาย คือ แม่น้ำปิง ได้แก่ เขื่อนภูมิพล ที่อำเภอสามเงา จังหวัดตาก / แม่น้ำวัง มีเขื่อนกิ่วลม ที่อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง และ เขื่อนกิ่วคอหมา อำเภอแจ้ห่ม จังหวัดลำปาง / ส่วนแม่น้ำน่าน ก็มีเขื่อนสิริกิติ์ ที่ อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์
ยังเหลือแค่ แม่น้ำยม ที่ไม่มีเขื่อนกักเก็บน้ำ ซึ่งที่ผ่านมากรมชลประทาน มีแผนจะก่อสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น ที่ ตำบลสะเอียบ อำเภอสอง จังหวัดแพร่ ตั้งแต่ปี 2528 แต่ถึงปัจจุบันยังหาข้อสรุปไม่ได้ เนื่องจากมีกระแสต่อต้านจากเอ็นจีโอและประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะ “ป่าสักทองผืนสุดท้ายของประเทศ”
วันนี้นักการเมืองในพื้นที่ภาคเหนือ จังหวัดริมแม่น้ำยม พูดถึงความจำเป็นของการมีเขื่อนกักเก็บน้ำในแม่น้ำยมขึ้นมาอีกครั้ง จึงน่าพิจารณาในเชิงลึกว่า หมายถึงเขื่อนแก่งเสือเต้น หรือเขื่อนกั้นแม่น้ำยมตรงจุดอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมน้อยกว่า