
รศ.ดร.เจษฎ์ โทณะวณิก อดีตที่ปรึกษากรรมการร่างรัฐธรรมนูญ เคยพยากรณ์ถูกต้อง ในกรณีคำร้องของ 40 สว. ปมแต่งตั้งนายพิชิตนั่งรัฐมนตรี ว่าข้ออ้างนายกฯเศรษฐาไม่รู้กฎหมาย ฟังไม่ขึ้น และฟันธงว่าหลุดเกัาอี้
โดยครั้งนี้ขอพยากรณ์ “นายกฯอิ๊งค์” อุปสรรคที่ต้องเจอ
นอกจากนี้ “ว่าที่นายกฯอิ๊ง” ต้องเจอกับวิบากอีกหลายด่าน
1.ถ้าหาก ณ ขณะที่แกนนำพรรคร่วมรัฐบาลเดิมเข้าไปคุยกันในบ้านจันทร์ส่องหล้า ไม่มี “อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร” อยู่ในบ้าน แปลว่านายทักษิณเป็นคนเชิญ แล้วสรุปว่าจะเสนอชื่อใครเป็นนายกฯคนใหม่ คำถามคือ เข้าข่ายผิด พ.ร.ป.พรรคการเมืองมาตรา 29 ครอบงำ ชี้นำ ควบคุม ทำให้พรรคการเมืองขาดอิสระ
ตัวผู้กระทำมีโทษจำคุก ส่วนฝั่งพรรคการเมือง ผิดมาตรา 28 ปล่อยให้คนที่ไม่ใช่สมาชิก ชี้นำ ครอบงำ ควบคุม มาตรา 92 ยุบพรรค ตัดสิทธิกรรมการบริหาร 10 ปี
2.ทุกพรรคที่ไปคุย ก็เสี่ยงถูกยุบ เพราะเป็นการจัดตั้งรัฐบาลโดยคนที่ไม่ได้เป็นหัวหน้าพรรคการเมือง โดยคนที่ยังพักโทษอยู่ ยังไม่ได้พ้นโทษ
3.“อุ๊งอิ๊ง” เคยพูดว่าจะแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 112 ใช่การแก้แบบเดียวกับที่พรรคก้าวไกลเคยเสนอ แล้วถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าล้มล้างฯ หรือไม่
4.ดิจิทัลวอลเล็ต เอาอย่างไรต่อ โครงการนี้เป็นของทุกพรรครัฐบาล หรือเฉพาะของเพื่อไทย หรือของคุณเศรษฐาเท่านั้น ถ้าบอกเป็นของ “อดีตนายกฯเศรษฐา“ ก็ไปปรับเปลี่ยน ตัดจบไปกับนายเศรษฐา
5.รัฐมนตรีใน ครม.เดิมที่อาจมีชื่อใน ครม.ใหม่ มีบางคนฝ่าฝืนจริยธรรมหรือไม่ - เคยมีคดีอุกฉกรรจ์ในต่างประเทศ เคยถูกให้ออกจากราชการ
พร้อมกันนี้ รศ.ดร.เจษฎ์ ยังมีข้อแนะนำด้วยว่า
1.เรื่องตั้ง ครม.ใหม่ ควรตั้ง-ไม่ควรตั้งใครเป็น รมต. พิจารณาจากมาตรฐานจริยธรรม
2.เรื่องปฏิญญาบ้านจันทร์ส่องหล้า ไม่รู้จะแนะนำอะไร เหมือนทำผิดสำเร็จไปแล้ว
3.เรื่องเคยพูดแก้ไขมาตรา 112 ต้องพูดใหม่ให้ชัดว่าจะแก้ไขอย่างไร เน้นเรื่องการบังคับใช้ การดำเนินคดีที่ไม่รัดกุม อาจจะทำแบบรัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ มีคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาสำนวนคดี ไม่ใช่ปล่อยให้ตำรวจโรงพักทำ
หากเปิดสานเสวนา เปิดเวทีปรึกษาหารือสาธารณะ (public consultatiion) จะปลดล็อกความขัดแย้งในบ้านเมือง ทำให้สิ่งงที่ไปกระทบสถาบันหลักของชาติหายไป หรือลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
4.เรื่องดิจิทัลวอลเล็ต ทำไม่ได้อยู่แล้วในตัว หากจะเดินหน้าต่อต้องแบ่งเทียร์ แบ่งกลุ่มคนได้รับเงิน เช่น
เมื่อรวมกัน 3 คนเป็น 10,000 บาท เดิม 1 คน 10,000 บาท ซึ่งจำนวนคนก็จะไม่มีมากขนาด 40 - 50 ล้านคนส่วนที่เหลือ มีนโยบายอย่างอื่นที่ไม่ใช่แจกเงิน